สังคม
“ชัยวุฒิ” นัดหารือ “ชัชชาติ” จัดระเบียบสายไฟ-สายสื่อสาร ทั่วกรุงเทพจันทร์นี้
โดย paranee_s
2 ก.ค. 2565
506 views
วันนี้ (2 ก.ค.2565) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงการแก้ไขปัญหาสายไฟและสายสื่อสารที่รกรุงรัง ก่อให้เกิดความรุนแรงของไฟไหม้ในพื้นที่ กทม.ว่า ล่าสุด ได้นัดหารือ กับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. แล้ว โดยจะมีการหารือกันในวันที่ 4 ก.ค. ที่ อาคาร CAT Tower บางรัก ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง เพื่อหารือถึงจุดเสี่ยง 39 จุดใน กทม. ที่จะดำเนินการนำสายต่างๆ ลงดินก่อน ทั้งนี้ จะมีการหารือถึงงบประมาณที่อาจจะต้องขอความร่วมมือจากทาง กสทช. และ กทม.
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กทม. ได้มีการสร้างท่อร้อยสายใต้ดินไว้แล้ว ตามโครงการโครงข่ายท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน แต่มีการให้สัมปทานเอกชนดำเนินการ เพื่อปล่อยเช่า ให้เอกชนและหน่วยงานนำสายสื่อสารมาร้อยในท่อ แต่อาจมีปัญหาเรื่องความคุ้มทุน เพราะการจะมีราคาแพงต่างจากการพาดไว้ตามเสาไฟฟ้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าจึงเป็นปัญหาที่จะต้องหารือว่าจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร
ส่วนเรื่องกฎระเบียบ ที่จะออกเป็นข้อห้าม หรือสร้างความรับผิดชอบให้เจ้าของสายมากขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องหารือกับ กสทช. ต่อไป
สำหรับปัญหาสายไฟ สายสื่อสาร ที่เป็นอยู่นายชัยวุฒิ มองว่า เกิดจากการจัดการไม่เป็นระบบ ที่เจ้าของสายสื่อสารซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้เตรียมการมาก่อนว่า หากมีสายสื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือสายตาย ต้องนำออกจากเสา ทำให้มีการเพิ่มจำนวนของสายสื่อสารตามเสาต่างๆ จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมองว่าปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเจ้าของสายสื่อสารเจ้าต่างๆ ไม่เคยให้ร่วมมือกัน
นายชัยวุฒิ ยังระบุด้วยว่า โดยปกติแล้วสายสื่อสารตามสเปคที่ถูกต้องไม่สามารถเป็นชนวน ก่อให้เกิดไฟไหม้ได้เนื่องจากมีคุณสมบัติกันไฟและความร้อนอยู่แล้ว ยกเว้นสายเก่า หรือสายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ลักลอบมาเดินสาย
สำหรับแนวทางแก้ไข นายชัยวุฒิ ระบุว่า ไม่สามารถจะนำสายไฟและสายสื่อสารทั้งหมดลงดินได้ ดังนั้น ต้องแยกการแก้ปัญหาออกเป็น 2 วิธี คือส่วนที่เป็นพื้นที่สำคัญ ต้องเร่งนำสายไฟและสายสื่อสารลงดิน และส่วนบางพื้นที่ อาจจะตรวจเช็กว่ามีสายใดบ้างที่ไม่ได้ใช้งาน และจัดระเบียบสายให้ไม่รกรุงรัง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวทางแก้ไขปัญหามาโดยตลอด ประเมินค่าใช้จ่ายที่จะนำสายไฟและสายสื่อสารลงดินประมาณ 20,000 ล้านบาท ยอมรับว่าในส่วนงบประมาณ ต้องรอเงินอุดหนุน ที่อาจไม่เพียงพอ