สังคม
ช่างภาพสาว ฉีดแอสตร้าเข็มแรก แพ้จนตาข้างซ้ายบอดสนิท
13 ธ.ค. 2564
6.5K views
วันที่ 12 ธ.ค.2564 นางสาวรัชนี มณีวงษ์ อายุ 37 ปี ช่างภาพบริษัทแห่งหนึ่ง ได้โพสต์ภาพขณะตัวเองนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลจากอาการแพ้วัคซีน พร้อมระบุข้อความว่า “ช่างภาพที่ต้องว่าความเพื่อตัวเอง จะเอากฎหมายข้อไหนยื่นสู้ สปสช. เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ยังคงเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่ไม่แพ้วัคซีนจนหมดลมหายใจไปเสียก่อน แต่ก็เป็นคนที่โชคร้ายที่สุดเช่นเดียวกัน เพราะหมอบอกว่าเป็น 1 ใน 20 ล้านคนที่แพ้วัคซีน แล้วส่งผลกระทบไปยังดวงตา ทำให้ฉันกลายเป็นช่างภาพ / Editor ที่มองไม่เห็น”
นางสาวรัชนี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 1 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ผ่านไปจนถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2564 ตรงกับวันเกิดของเธอ วันนั้นอาการปวดเบ้าตามันเริ่มส่งผลทำให้สายตาพร่ามัวการมองเห็นซีดลง/จนเข้าสู่วันที่ 9 กันยายน 2564 เริ่มทนกับอาการปวดเบ้าตาไม่ไหว จึงเข้ารับการรักษากับคุณหมอตา (จักษุแพทย์) ท่านหนึ่ง แต่ดูเหมือนหมอตาจะช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากส่งไปพบกับหมอระบบประสาทและสมอง
ตนเองถูกส่งต่อให้กับหมอระบบประสาทและสมอง โดยไม่รู้ว่าผลจะออกมาว่าตนแพ้วัคซีนขั้นรุนแรง เนื่องจากคุณหมอได้ทำการวินิจฉัยหาสาเหตุอื่น ๆ เพื่อมาประกอบว่าตนแพ้วัคซีน หรือไม่ เริ่มจากการ MRI สแกนสมอง เพื่อเช็กว่ามีเนื้องอกในสมอง หรือมีอะไรไปอุดตันเส้นเลือดดำ ที่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้ขั้วประสาทตาบวม
สรุปไม่พบสาเหตุ เพราะผลออกมาปกติทุกอย่าง คุณหมอระบบประสาทและสมองยังไม่ยุติการ หาสาเหตุ จึงส่งตนไปเจาะไขสันหลัง เพื่อเช็กระดับแรงดันน้ำ ผลปรากฏว่าปกติ ผลตรวจเลือดก็ ไม่พบว่าภูมิบกพร่องแต่อย่างใด ซึ่งหมอวินิจฉัยโรคว่า “Bilateral optic neuritis (จอประสาทตาอักเสบ) หลังได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า”
นางสาวรัชนี เล่าว่า จากนั้นตนเองเข้ารับการรักษาโดยให้สเตียรอยด์ เข้าเส้นเลือดดำเพื่อบรรเทาอาการปวดเบ้าตาวันละ 1 ขวด เป็นเวลา 3 วัน เท่ากับรับยาเฉลี่ยวันละ 50 เม็ดต่อวัน อาการปวดมันหายไปแต่การมองเห็นยังคงมืด มันกระทบไปหมด งานก็ต้องชะงักทุกโปรเจ็กต์
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ยังต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง รวม ๆ แล้วปาเข้าไป 400 กว่าเม็ดที่ร่างกายรับสเตียรอยด์ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน เอฟเฟกต์จากสเตียรอยด์ ทำให้ตัวบวม หน้าบวม แขนขาเริ่มอ่อนแรง เพราะกินยาที่มากเกิน ยังทำให้การรับรสหายไปด้วย
ทีแรกตามืดสนิททั้ง 2 ข้าง ก่อนที่ตาข้างขวาจะกลับมามองเห็นได้ปกติ ภาพที่เห็นยังซีด ๆ แต่ตาข้างซ้ายยังคงมืดเนื่องจากอาการกำเริบ สาเหตุมาจากคุณหมอหยุดยาเร็วเกินไป คุณหมอที่รักษาพูดแบบนั้น เพราะหมอคิดว่า อาการก่อนหน้านี้มันเริ่มดีขึ้น
ทุกวันนี้ตาข้างซ้ายมองไม่เห็นมืดสนิท ในขณะที่ตามองไม่เห็นตนต้องวิ่งเต้นยื่น สปสช. ด้วยตัวเองอยู่หลายช่องทาง ทั้งส่งอีเมล์ที่เขาแจ้งมา ส่งทางไลน์ที่ให้แอดไป ตนเป็นคนชอบรอ รอให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่เจ้าหน้าที่หายเงียบไป และตอบกลับมาว่า อีเมล์ที่ส่งมาทางเราได้ปิดอีเมล์นั่นไปแล้ว
ตนจึงส่งเรื่องไปยัง สปสช.ใหม่ ก็เงียบอีกเหมือนเดิม เข้าเดือนที่ 2 ก็ยังเงียบ /วันที่ 26 ตุลาคม ตนเดินทางไปศูนย์ราชการ เพื่อยื่นเอกสารร้องเรียนกับหน่วยงาน สปสช. /ต่อมาวันที่ 31 พฤศจิยายน 2564 เงินเข้า 3 หมื่นบาทถ้วน นี่คือเงินเยียวยา ที่โอนมาบรรเทาอาการแพ้วัคซีน แต่ตนจ่ายค่ารักษาตัวเองไปรวม ๆ แล้ว เกือบ 7 หมื่นบาท นี่ยังไม่รวมค่ารักษาต่อเนื่อง ครั้งละ 1,500- 3,000 บาท
สปสช.มีเอกสารให้ตนยื่นอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน ด้วยการให้ยื่นข้อโต้แย้งข้อเท็จจริงและ “ข้อกฎหมายที่ไม่เห็นด้วย” กับคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฯ ตนเป็นช่างภาพไม่ได้เป็นทนาย จะเอากฎหมายข้อไหนไปยื่นสู้เพื่อตัวเอง หรือต้องควักเงินเพื่อจ้างทนายมาสู้คดีให้ทันภายใน ระยะเวลา 30 วัน ซึ่งยังหาหนทางไม่เจอ
นางสาวรัชนี ระบุว่า ต้องสูญเสียสิทธิ์กี่เรื่องกับการแพ้วัคซีนครั้งนี้ สูญเสียโอกาสในหน้าที่การงาน สูญเสียโอกาสในการมองเห็น สูญเสียโอกาสในการรับการรักษาฟรี แบบรัฐเต็มใจจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะผลการคืนเงินค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาคืนมาเฉพาะ IPD แต่ส่วนต่างของ OPD ตนต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง หรือแม้แต่กระทั่งควักเงินสำรองจ่ายแทนประกันสุขภาพ ที่ทำไว้ตกปีละหมื่นแปดกว่าบาท ตนไม่ควรเสียเงินสักบาทด้วยซ้ำ
รัฐบาลกล่าวไว้ว่า แพ้วัคซีนรักษาฟรีทั้งเอกชนและรัฐบาล แต่สิทธิ์นั้นตนไม่ได้รับ แถมวงเงินค่า OPD ของตนก็เต็มด้วย การแพ้วัคซีนครั้งนี้ตนมองว่ามันไม่ยุติธรรม ไม่ใช่การเจ็บป่วยด้วยร่างกายหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่ตนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด แม้ว่าประกันจะเคลมคืนมาครึ่งหนึ่งของเงินที่จ่ายไปแล้วก็ตาม
นางสาวรัชนี กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมาตนคือหนึ่งในผู้ที่ไม่เคยกินยาปฏิชีวนะเลย และไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยปวดหัว ไม่เคยเป็นไข้ แต่คราวซวยของตนเองที่จะโทษอะไรดี โชคชะตาหรอ หลายคนอาจคิดในใจว่า เอาน่าอย่างน้อยก็ยังมีชีวิต มันต้องไม่เกิดขึ้นกับใครเลยต่างหาก เงินเยียวยารักษาดวงตาให้กลับมามองเห็นได้หรือไม่ แล้วจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปบนเส้นทางอาชีพช่างภาพ
“เราไม่ได้เลือกวัคซีนเอง รัฐบาลจัดสรรวัคซีนมาให้ ยี่ห้อไหนก็ต้องจัด เราไม่มีสิทธิ์หรือมีโอกาสเลือก เราก็ไม่รู้หรอกว่าไปฉีดแล้วจะแพ้วัคซีนหรือไม่ คิดว่าเราแข็งแรง แต่เมื่อตนเองแพ้วัคซีนแล้วก็ต้องการการเยียวยาแบบเป็นธรรม การเยียวมันเหมือนการให้กำลังใจคนที่เจ็บป่วยหรือแพ้ ต้องได้รับการดูแลไม่เลือกปฏิบัติว่าแพ้มาก แพ้น้อย เพราะมันได้รับผลกระทบทุกด้าน สุดท้ายตนอาจได้รับการเยียวยาจบที่เงิน 3 หมื่นบาท แลกกับดวงตาที่อาจมองไม่เห็นไปตลอดชีวิต”
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/zj7c6rQ2oTc