รวบชายโรคจิต บุกห้องทำอนาจารหญิงและเด็ก โดนจับคดีนี้มาแล้วหลายครั้ง สารภาพเป็นรสนิยม

รวบแล้ว! ชายคนร้าย บุกเข้าหอพัก กระทำอนาจารหญิงสาว และเด็กหญิง ผู้ต้องหาสารภาพ เป็นรสนิยมความชอบส่วนตัว เผยเคยถูกจับกุมคดีลักษณะเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง และเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาได้เพียง 6 เดือน

จากกรณีคลิปภาพกล้องวงจรปิด คนร้ายเป็นชาย อายุประมาณ 25-35 ปี ลักษณะผอม รูปร่างตัวเล็ก ได้แอบเข้าไปในห้องเช่าแห่งหนึ่ง ภายในซอยเดชอุดม 20 เขตเทศบาลนครราชสีมา

พยายามเข้าไปเปิดประตูตามห้องพักต่างๆ ก่อนจะก่อเหตุกระทำอนาจารหญิงสาว วัย 22 ปี ซึ่งเป็นหลานสาวเจ้าของห้องเช่า โดยพบว่า ชายคนร้ายดังกล่าว ได้ก่อเหตุกระทำการในลักษณะแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง และไปก่อคดีบุกรุกเข้าไปยังลวนลามเด็กหญิงวัย 10 ปี ภายในห้องนอน และทำร้ายร่างกายพ่อของเด็กหญิงจนได้รับบาดเจ็บ

ล่าสุดวันนี้ (22 พ.ย. 64) เวลา 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา สามารถติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้ว คือ นาย เดิมเชียงแสน ปล้องสูงเนิน อายุ 40 ปี เป็นชาวอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา

โดยจับกุมได้ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ภายในซอยเดชอุดม 7/2 เขตเทศบาลนครราชสีมา ซึ่งผู้ต้องหาไปเช่าพักอาศัยอยู่ และเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนที่ สภ.เมืองนครราชสีมา จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวจริง ทำมาแล้วหลายครั้ง

โดยยอมรับว่าตนเองมีรสนิยมชื่นชอบเด็กผู้หญิง และไม่ได้เสพสารเสพติดแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยก่อเหตุในคดีในลักษณะเดียวกันนี้กับเด็กผู้หญิง จนถูกศาลสั่งจำคุก และเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น

ทั้งนี้ อยากฝากขอโทษครอบครัวของผู้เสียหายด้วย นายสถาพร สิงห์เทา อายุ 47 ปี พ่อของเด็กหญิงวัย 10 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตอนนี้รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาจับกุมตัวผู้ก่อเหตุดังกล่าวได้ ทั้งนี้เรื่องของคดี ตนก็อยากให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะการที่บุกเข้าบ้านคนอื่น และมาก่อเหตุอนาจารลูกสาวตน ตอนนี้ลูกสาวของตนเสียขวัญอย่างมาก และส่งผลให้กระทบทางด้านจิตใจกับเด็ก

นางดวงใจ สัมฤทธิ์ เพื่อนบ้านข้างเคียงผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ตนได้เห็นผู้ก่อเหตุย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเช่า ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งตนก็ได้สังเกตว่า ผู้ต้องหาไม่มีงานทำ ตอนกลางวันก็มักจะนอน ส่วนกลางคืนก็มักจะออกมาเดินวนไปวนมาเข้าออกในซอย

จนกระทั่งเมื่อเห็นข่าว ตนจึงรู้ว่าเป็นคนเดียวกันกับคนที่ก่อเหตุ ทั้งนี้คนในชุมชนรู้สึกโล่งใจ และอยากให้ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะคนแบบนี้เป็นภัยกับสังคมได้