สังคม

นาทียื้อชีวิต 'ยายสดชื่น' วัย 68 ติดโควิดดับคาบ้าน ก่อนอาสาเข้าช่วยเพียง 10 นาที ไม่ทันได้ไป รพ. ทั้งที่ได้เตียงแล้ว

โดย thichaphat_d

7 ส.ค. 2564

112 views

ทีมข่าวได้รับแจ้งว่ามีสองตายาย ทราบชื่อนายธงชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 73 ปี และนางสดชื่น (สงวนนามสกุล) อายุ 68 ปี อาศัยอยู่บ้านด้วยกันสองคนในชุมชนแห่งหนึ่ง ย่านอรุณอมรินทร์ กรุงเทพฯ ทั้งคู่ติดโควิด อาการแย่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูแล นอนป่วยอยู่ในบ้านเช่า โดยคืนวันที่ 5 ส.ค. ทีมข่าวและทีมอาสากลุ่มเส้นด้าย เข้าไปเจอค่อนข้างทำให้รู้สึกหวั่นใจกลัวว่าจะต้องเจอความสูญเสียต่อหน้าต่อตาหรือไม่


สภาพของสองตาตายนอนหมดแรง นอนจมกองอุจจาระปัสสาวะอยู่ไม่ห่างกัน ร่างกายของคุณตาซูบเซียวและดูอ่อนแรงมาก ทั้งคู่ไม่มีแรงขยับตัว ไม่มีแรงกระทั่งจะส่งเสียง ทีมเส้นด้าย จึงเร่งเช็คอาการเบื้องต้น ใส่สายออกซิเจน ปรากฎว่าค่าออกซิเจนในเลือดไม่ได้ตกลงไปจนน่าวิตกมากนัก ที่มีอาการอ่อนแรงขนาดนี้น่าจะเกิดจากการขาดน้ำ ขาดอาหาร


อาสาเส้นด้าย แบ่งหน้าที่กันดูแลเรื่องน้ำอาหาร อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม ใส่เสื้อผ้าสะอาดให้คุณตาคุณยายทั้ง 2 ท่านทำความสะอาดห้อง เปลี่ยนที่นอนให้ใหม่ เร่งประสานโรงพยาบาลเพื่อมีการรับรักษาต่อ เนื่องจากแม้ค่าออกซิเจนจะยังไม่วิกฤติ แต่ทั้งสองเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการเปลี่ยนแปลงได้ไวต้องเฝ้าระวัง


โดยช่วงค่ำวันที่ 5 ส.ค. คุณตา ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลบุษราคัม สภาพขณะนั้นคุณตา แทบไม่รู้สึกตัวแล้ว


ส่วนคุณยายสดชื่น ยังนอนซมอยู่ในบ้านเช่าลำพังคนเดียว มีหลานและหลานสะใภ้ช่วยดูแล ซึ่งเมื่อวานนี้ (6 ส.ค.) ญาติได้ประสานรถเตรียมนำส่งคุณยาย ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบุษราคัม โดยช่วงเวลา 14.40 น. ทีมข่าวและกลุ่มอาสาลมหายใจฉุกเฉิน เดินทางไปถึงบ้านของุณยาย เพื่อรับตัวคุณยาย ส่งต่อไปรักษา


ปรากฎว่าสภาพที่เห็นสุดสะเทือนใจและหดหู่ โดยคุณยายสดชื่น นอนแน่นิ่งไม่ใส่เสื้อ ตัวซีดเหลือง อ้าปากค้าง ที่ปากมีคราบเลือด ทีมข่าวและทีมอาสาฯ ที่เข้าไปช่วยช็อกตกใจ รีบให้การช่วยเหลือโดยด่วน พยายามปั๊มหัวใจ ใส่สายออกซิเจน วัดค่าออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้ว ทีมอาสาฯ ปั๊มหัวใจและพยายามเรียกชื่อ “ยายสด ยายสด....” แต่ยายไม่ตอบสนองใด ๆ ก่อนที่ทีมข่าวและอาสาฯ จะเดินทางไปถึงเพียง 10 นาที


ขณะที่นายทศพล อายุ 39 ปี หลานชาย ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตะโกนเรียก “ย่า ย่า.....” และพยายามเขย่าตัวและมือของย่าก่อนจะทรุดนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ตัวย่า ส่วนหลานสะใภ้ อยู่ข้างล่างบ้านเรียกชื่อย่าปล่อยโฮร้องไห้เสียงดัง


หลานชาย เผยว่า วานนี้ (6 ส.ค.) เวลาประมาณ 12.40 น. ตนใส่ชุด PPE ขึ้นมาอาบน้ำ เช็ดตัว เปลี่ยนแพมเพิสให้ย่าเพื่อรอไป รพ.บุษราคัม ยังรู้สึกตัว จากนั้นตนก็ลงมาจากห้องพักของย่า / 13.30 น.แฟนของตนดูกล้องวงจรปิดที่ติดในบ้านไว้ดูอาการทั้งสองท่าน พบว่าคุณย่า ยังขยับตัวกระดิกเท้า / 14.40 น. ดูวงจรปิดอีกครั้งพบว่าคุณย่า นอนนิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ตนออกไปตามรถเพื่อจะส่งคุณย่า ไป รพ.บุษราคัม จึงประสานทีมอาสาฯ รีบเข้ามาดู


ขณะนั้นทีมข่าวและกลุ่มอาสาลมหายใจฉุกเฉิน มีหวังว่าจะสามารถยื้อชีวิตคุณยายไว้ได้ แม้จะรู้ว่าชีพจรของคุณยายแผ่วมาก ทีมอาสาฯ พยายามช่วยปั๊มหัวใจ โดยทีมข่าวช่วยประสาน 1669 เพื่อส่งรถฉุกเฉินและทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่พยาบาล มาดูอาการคุณยาย อย่างเร่งด่วน เนื่องจาก ‘ยายสดชื่น’ วิกฤตแล้ว


ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ 1669 ได้ประสานโรงพยาบาลศิริราช ให้เข้าช่วยเหลือ เนื่องจากเป็น รพ.ที่อยู่ใกล้บ้านของผู้ป่วยมากที่สุด ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่แนะให้ปั๊มหัวใจคุณยาย จนกว่ารถพยาบาลฯ จะไปถึง พร้อมทั้งแนะนำการปั๊มหัวใจอย่างถูกวิธี เพื่อยื้อชีวิตคุณยาย ถึงที่สุด


ใช้เวลา 7 นาที ทีมแพทย์โรงพยาบาลศิริราช เดินทางมาถึง สอบถามหาญาติของคุณยาย แล้วรีบยื้อชีวิตของคุณยายสดชื่น ทันที และปั๊มหัวใจอีกครั้ง โดยทีมแพทย์ระบุว่า ผู้ป่วยเป็นโรคไตยังไม่ได้รับการรักษาโดยการล้างไต สภาพของผู้ป่วยอาจขาดน้ำขาดอาหาร


ขณะที่หลานชายบอกเล่าอาการของยาย เพื่อให้ทีมแพทย์ประเมินอาการ แพทย์บอกว่าปั๊มหัวใจแล้วชีพจรของยายไม่ขึ้น


จากนั้นทีมแพทย์ได้ขอคุยโทรศัพท์กับญาติของคุณยาย เพื่อแจ้งว่า “ก่อนที่หมอจะมาถึง ผู้ป่วยไม่มีชีพจรแล้ว แต่กำลังช่วยปั๊มหัวใจ กราฟเป็นเส้นตรงโอกาสที่ยายจะมีชีวิตอยู่ยากมาก ไม่รู้ว่าสมองขาดออกซิเจนไปนานเท่าไหร่ ยายอาจไม่ตื่นขึ้นมาเป็นปกติเหมือนเดิม หากหมอปั๊มหัวใจไปซักระยะแล้วชีพจรไม่ขึ้น จะให้หมอหยุดปั๊มหัวใจหรือไม่ เพราะการปั๊มหัวใจอาจทำให้ยายเจ็บ เพื่อให้ญาติได้ตัดสินใจ”


จากนั้นทีมแพทย์ได้คุยโทรศัพท์กับลูกชาย ของคุณยาย เพื่อแจ้งอาการให้ทราบว่ากราฟหัวใจเป็นเส้นตรง 3 รอบแล้ว โอกาสที่ยายจะกลับมาค่อนข้างน้อยแม้จะใส่เครื่องช่วยหายใจแล้วก็ตาม หากชีพจรไม่กลับขึ้นมาจะให้หมอหยุดปั๊มหัวใจหรือไม่ ซึ่งลูกชายยินยอมให้หมอหยุดปั๊มหัวใจเพราะไม่อยากให้แม่ทรมาน หมอถามย้ำอีกครั้ง “หากชีพจรไม่กลับขึ้นมา จะขออนุญาตหยุดปั๊มหัวใจ”


หมอบอกับลูกชายของยายว่า พยายามยื้อชีวิตอย่างเต็มที่นานกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนจะแจ้งกับลูกชายของคุณยายว่า ไม่สามารถช่วยชีวิตคุณยาย ได้ พร้อมระบุว่า คุณยายน่าเสียชีวิตก่อนที่ทีมอาสาฯ จะมาถึง จากนั้นทีมแพทย์โรงพยาบาลศิริราช ได้ถอดสายทั้งหมดออกจากตัวคุณยาย เก็บอุปกรณ์ เครื่องออกซิเจน นำผ้าห่มมาปกคลุมร่างของยาย


ผู้สื่อข่าวที่คุยกับลูกชายของยายสดชื่น บอกว่า ตนเองก็ติดเชื้อโควิดเหมือนกัน ลุกไม่ไหว ตอนนี้กักตัวอยู่ย่านเอกชัย โดยบอกว่า “ผมขอกลับไปดูศพแม่ได้มั้ยครับ” ผู้สื่อข่าวจึงบอกไปว่าให้รักษาตัวให้หายก่อน ส่วนเรื่องศพให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการ


ลูกชายของยาย อ้างว่า ตนเองติดเชื้อจากพ่อแม่ จึงต้องหนีออกจากบ้านเพื่อไปรักษาตัวเอง ปล่อยให้พ่อแม่ซึ่งติดโควิดนอนป่วยอยู่บ้านลำพัง แต่ก็โทรติดต่อสอบถามอาการเป็นระยะ


“ผมโทรคุยกับแม่สามวันที่แล้ว แกบอกเหนื่อยไม่ไหว ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมเสียใจ เอาชีวิตผมไปดีกว่า ตัวเองก็ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือพ่อแม่ได้เลย ผมคิดว่าแม่คงไม่ไหวจริง ๆ ไม่อยากให้แม่ทรมาน จึงบอกหมอให้หยุดปั๊มหัวใจแล้วขอให้แม่ไปสบาย อยากไปดูศพอยากจะบวชให้แม่ เพราะผมมีแม่คนเดียว ถ้าไม่ป่วยผมจะไปดูแลเขา”


ขณะที่หลานสะใภ้ ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของคุณยาย บอกว่า ก่อนที่ยายจะเสียชีวิต ตนขึ้นไปทำความสะอาดร่างกายให้ยาย ทาแป้ง ใส่แพมเพิส เพราะรู้ว่าจะมีคนมารับไปรักษา สภาพของยายนอนทุรนทุราย นอนกลิ้งไปมา ตนจึงนำน้ำให้ยายดื่ม แล้วลงมารอรถอยู่ข้างล่าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูวงจรปิด เห็นยายนอนท่าเดิมผิดปกติ จึงเรียกให้แฟนใส่ชุด PPE ขึ้นไปดู พบว่ายายนิ่งไปแล้ว


ส่วนศพของยายสดชื่น หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าไปชันสูตร กู้ภัยได้เข้าไปเก็บร่างเวลา 21.30 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา ใส่ถุงซิปล็อกสามชั้น พ่นยาฆ่าเชื้อห่อด้วยผ้าขาว ยกขึ้นเปลนอนเข็นออกมาจากบ้าน เพื่อนำร่างมาบรรจุใส่โลงซึ่งตั้งอยู่หน้าปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนนำศพไปฌาปนกิจที่วัดเสาธงหิน



รับชมทางยูทูปที่ : https://youtu.be/fx4gkug3i94

คุณอาจสนใจ

Related News