ต่างประเทศ

“ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐฯ ยุ “อิหร่าน” เปลี่ยนระบอบการปกครอง หลังเปิดฉากโจมตีโรงงานนิวเคลียร์

โดย JitrarutP

23 มิ.ย. 2568

192 views

“โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐฯ ยุ “อิหร่าน” เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ใช้สโลแกนเดียวกับสหรัฐฯ “Make Iran Great Again” หลังเปิดฉากโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ ด้าน รองประธานาธิบดี แจงเพิ่มเติมปัดเปลี่ยนระบอบ แค่ต้องการยุติโครงการนิวเคลียร์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาโพสต์ข้อความส่งสัญญาณถึง “การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง” ของอิหร่าน หลังจากเปิดฉากโจมตีเป้าหมายทางนิวเคลียร์ที่สำคัญ 3 แห่งของอิหร่านไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผู้นำสหรัฐฯ ได้เขียนข้อความลงบนแพลตฟอร์มทรูธโซเชียลของเขาว่า “การใช้คำว่า ‘เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง’ อาจจะไม่ถูกต้องทางการเมือง แต่ถ้าระบอบการปกครองปัจจุบันไม่สามารถทำให้อิหร่านกลับมายิ่งใหญ่ได้ ทำไมจะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไม่ได้ล่ะ?”

ในข้อความดังกล่าว ทรัมป์ยังเขียนคำว่า “MIGA” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Make Iran Great Again” (ทำให้อิหร่านกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ในทำนองเดียวกับสโลแกน “MAGA” หรือ “Make America Great Again” (ทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”

อย่างไรก็ดี ข้อความดังกล่าวของทรัมป์ค่อนข้างที่จะสวนทางกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของเขา เช่น รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายพีท เฮกเซธ ที่บอกว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการโค่นล้มหรือทำสงครามกับรัฐบาลอิหร่าน แต่มีเป้าหมายที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเท่านั้น

รองประธานาธิบดีแวนซ์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการของสถานีโทรทัศน์ NBC ว่า “จุดยืนที่ชัดเจนของเราคือ เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เราไม่ต้องการทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อหรือบานปลาย เราเพียงต้องการยุติโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา จากนั้นเราต้องการเจรจากับฝ่ายอิหร่านเพื่อหาข้อยุติในระยะยาว" พร้อมเสริมว่า “สหรัฐฯ ไม่มีความสนใจที่จะส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปในอิหร่านด้วย"

ทั้งนี้ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เปิดปฏิบัติการที่ชื่อว่า “Operation Midnight Hammer” ซึ่งเป็นปฏิบัติการลับที่รับรู้กันในวงจำกัดเพียงไม่กี่คนในรัฐบาลและกองบัญชาการปฏิบัติการตะวันออกกลางของกองทัพสหรัฐฯ ในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา

พลเอก แดน เคน ประธานคณะเสนาธิการร่วมทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 จำนวน 7 ลำ ใช้เวลาบิน 18 ชั่วโมงจากสหรัฐฯ เข้าไปยังอิหร่านเพื่อทิ้งระเบิด “บังเกอร์ บัสเตอร์” ที่มีน้ำหนัก 30,000 ปอนด์ จำนวน 14 ลูก และโดยรวมแล้ว สหรัฐฯ ยังใช้อาวุธนำวิถีความแม่นยำสูง 75 ลูก ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธโทมาฮอว์กกว่า 24 ลูก และใช้อากาศยานกว่า 125 ลำในปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่ง

พลเอกเคนกล่าวว่า การประเมินความเสียหายเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าโรงงานทั้งสามแห่งได้รับความเสียหายและถูกทำลายอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ยืนยันว่าขีดความสามารถทางนิวเคลียร์ของอิหร่านยังคงหลงเหลืออยู่หรือไม่

ด้านนายราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ระบุว่า ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่ฟอร์โดได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวระดับสูงของอิหร่านเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ก่อนการโจมตีของสหรัฐฯ อิหร่านได้ขนย้ายยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงส่วนใหญ่จากโรงงานฟอร์โด ไปยังสถานที่อื่นที่ไม่ถูกเปิดเผยแล้ว

ด้านรัฐบาลอิหร่านประกาศว่าจะเดินหน้าปกป้องตนเอง และได้ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอล ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และอาคารหลายแห่งในเมืองเทลอาวีฟได้รับความเสียหาย แต่ยังไม่มีการตอบโต้ฐานทัพสหรัฐฯ โดยตรงตามที่เคยขู่ไว้ก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี มีรายงานถึงความเป็นไปได้ที่อิหร่านอาจตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก โดยมีรายงานว่ารัฐบาลอิหร่านมีมติปิดช่องแคบดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงต้องรอการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดและอยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของประเทศ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ นายมาร์โก รูบิโอ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจีนช่วยยับยั้งไม่ให้อิหร่านปิดช่องแคบดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า “อิหร่านต้องพึ่งพาช่องแคบฮอร์มุซอย่างมากในการขนส่งน้ำมัน การปิดช่องแคบนี้ถือเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจสำหรับอิหร่าน”

ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท Washington Ivy Advisors กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ อาจทำให้อิหร่านเผชิญแรงกดดันจากจีน ซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุด เนื่องจากจีนไม่ต้องการให้การส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงักและไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่าจีนจะใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเพื่อกดดันอิหร่าน



สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เตือนว่า การปิดช่องแคบฮอร์มุซซึ่งอยู่ระหว่างอิหร่านกับโอมาน อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมเปิดเผยข้อมูลว่า ในปี 2567 มีน้ำมันดิบประมาณ 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 20% ของการใช้น้ำมันทั่วโลก ถูกขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้

คุณอาจสนใจ

Related News