“อีลอน มัสก์” ประกาศลดบทบาทในรัฐบาลทรัมป์ หลังกำไรในไตรมาสแรกของบริษัทร่วง

“อีลอน มัสก์” ซีอีโอของเทสลา ประกาศลดบทบาทในรัฐบาลของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังกำไรและรายได้ในไตรมาสแรกของบริษัทเทสลาร่วงหนัก ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีต่อจีน เนื่องจากยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนสำคัญ ท่ามกลางกระแสต่อต้านบทบาททางการเมืองที่เข้มข้นของเขาในทำเนียบขาว

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย. 68) บริษัทเทสลาได้ออกมาเปิดเผยรายงานผลกระทบการ โดยระบุว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 รายได้รวมของบริษัทลดลง 9% เมื่อเทียบเป็นรายได้ เฉพาะรายได้ของรถยนต์ลดลง 20% ทางบริษัทได้เตือนนักลงทุนว่าสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้อาจดำเนินต่อไปและปฏิเสธที่จะให้ตัวเลขคาดการณ์การเติบโต โดยชี้ว่าทัศนคติทางการเมืองที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการรถยนต์เทสลาอย่างมีนัยสำคัญ

ความตกต่ำครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อการที่มัสก์เข้าไปนั่งเก้าอี้สำคัญในคณะบริหารของทรัมป์ โดยเป็นหัวหอกสำคัญของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency) หรือ ดอดจ์ (DODGE) ที่มีเป้าหมายลดรายจ่ายและจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง

นายมัสก์ บอกว่า การทำงานให้ดอดจ์ทำให้ความสนใจของเขาที่มีให้กับบริษัทเทสลาลดลง และตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป เขาจะใช้เวลาทำงานให้กับรัฐบาลของทรัมป์เพียง 1 – 2 วันต่อสัปดาห์ โดยอ้างว่างานจัดระเบียบรัฐบาลส่วนใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว แม้จะยอมรับว่าการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบและการโจมตีตัวเขาและทีมงานก็ตาม

มัสก์ได้ทวิตข้อความลงบนเอ็กซ์ ยืนยันว่า เขาไม่ได้ลาออกจากรัฐบาลทรัมป์ แต่แค่ลดเวลาการทำงานที่เขาเคยมอบให้กับดอดจ์ลง

ผลประกอบการที่ย่ำแย่สะท้อนปัญหาที่รุมเร้าของเทสลา นอกจากยอดขายที่ลดลงแล้ว บริษัทยังยอมรับว่าได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ต่อจีน เนื่องจากต้องพึ่งพาชิ้นส่วนสำคัญจากจีนเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม มัสก์ ย้ำว่าบริษัทของเขาได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์น้อยที่สุด แต่เขาก็จะยังคงสนับสนุนมาตรการภาษี แต่ในอัตราที่ต่ำลงไม่ใช่การเพิ่มภาษี ความขัดแย้งทางการค้าและทัศนคติทางการเมืองที่เปลี่ยนไปกำลังสร้างความเสี่ยงใหญ่หลวงให้กับอนาคตในระยะสั้นของเทสลาแม้บริษัทจะพยายามฝากความหวังไว้กับเทคโนโลยีเอไอก็ตาม

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้หุ้นเทสลาร่วงลงไปแล้วกว่า 37% ในปีนี้ ก่อนจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อย 5% หลังการประกาศผลประกอบการล่าสุด

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่ามัสก์มีความขัดแย้งในเรื่องการค้ากับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของทรัมป์ เช่น นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มัสก์เคยด่านาวาร์โรว่า “คนโง่” หรือ “คนปัญญาอ่อน” เพราะนาวาร์โรเคยกล่าวหามัสก์ว่าไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์แต่เป็นเพียงผู้ประกอบรถยนต์เท่านั้น