“โจ ไบเดน” แถลงครั้งแรกหลังลงตำแหน่ง ซัด “ทรัมป์” ทำลายล้างระบบ-สร้างความพังพินาศ

อดีตประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” กล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกหลังออกจากทำเนียบขาว วิจารณ์การยกเครื่องระบบราชการและปลดเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าเป็นการทำลายล้าง เสี่ยงกระทบสวัสดิการหลังเกษียณของชาวอเมริกัน ซัดรัฐบาลชุดนี้ยังไม่ถึง 100 วัน ก็สร้างความพังพินาศ

อดีตประธานาธิบดีไบเดนกล่าวต่อที่ประชุมของผู้สนับสนุนสิทธิคนพิการในนครชิคาโกเมื่อวานนี้ (15 เม.ย. 68) ว่ายังไม่ถึง 100 วัน รัฐบาลชุดนี้ได้สร้างความเสียหายและความพินาศอย่างมหาศาล และมันน่าตกตะลึงที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเร็วขนาดนี้

ไบเดนพุ่งเป้าไปที่การปลดเจ้าหน้าที่ออกจากสำนักงานประกันสังคมของกรมประสิทธิภาพภาครัฐ (Department of Government Efficiency)" ของทรัมป์และอีลอน มัสก์ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวทำหน้าที่ดูแลเงินบำนาญและสวัสดิการคนพิการ

ไบเดนบอกว่า "พวกเขาใช้ขวานจามสำนักงานประกันสังคม และไล่เจ้าหน้าที่ 7,000 คนออกไป” พร้อมชี้ว่าการลดพนักงานกำลังทำให้เว็บไซต์ของหน่วยงานล่มบ่อยครั้งและเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นของผู้สูงอายุ

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังตอกย้ำว่าประกันสังคมคือเส้นเลือดใหญ่ของชาวอเมริกันกว่า 65 ล้านคนและเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปแตะต้องเพราะหลายคนต้องพึ่งพาเงินประกันสังคมเพื่อซื้ออาหารและประทังชีวิต หากถูกตัดหรือยกเลิกไป มันจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อคนนับล้าน

สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้พิการชาวอเมริกัน 73 ล้านคนเป็นมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และก่อนหน้านี้ ในช่วงหาเสียง ทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะไม่แตะต้องหน่วยงานนี้

การกล่าวสุนทรพจน์ของไบเดนกินระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง โดยบางครั้งเขาได้แสดงอาการที่เป็นสัญญาณของความชราภาพออกมา เช่น การพูดติดขัด และการพูดวกวนขณะเล่าเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนอกบท โดยเขามักตัดบทตัวเองด้วยวลีติดปากว่า "อย่างไรก็ตาม" (anyways) แต่กระนั้น เขาก็ไม่พลาดที่จะเหน็บแนมประธานาธิบดีทรัมป์

ไบเดนยังได้โจมตีนายฮาวเวิร์ด ลุทนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของทรัมป์ ซึ่งเป็นอดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เกี่ยวกับคำพูดล่าสุดที่ลุทนิกกล่าวว่ามีแต่ “พวกต้มตุ๋น" เท่านั้นแหละที่จะบ่นเรื่องเช็คประกันสังคมหาย โดยไบเดนสวนกลับคำพูดดังกล่าวอย่างเผ็ดร้อนว่า “แล้วคุณแม่วัย 94 ปีที่อยู่ตัวคนเดียว ที่ไม่ได้มีมหาเศรษฐีพันล้านอยู่ในครอบครัวละ”