ต่างประเทศ

'ทรัมป์' ลั่นเลื่อนภาษี 90 วัน อาจยกเลิกได้ทุกเมื่อ หากเจรจาไม่ได้ตามต้องการ - ขึ้นภาษีจีนอีกเป็น 145%

โดย petchpawee_k

10 เม.ย. 2568

903 views

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพฤหัสบดี ทรัมป์ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการระงับการขึ้นภาษีสินค้า "แบบตอบโต้" เป็นเวลา 90 วัน โดยระบุว่าหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงระหว่างประเทศได้ ภาษีสินค้าดังกล่าวที่สูงมากก็อาจกลับมาอีกครั้ง


ทรัมป์กล่าวว่า “หากเราไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่เราต้องการได้ หรือเราต้องทำ หรือข้อตกลงนั้นเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ข้อตกลงนั้นจะต้องเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย จากนั้นเราจะกลับไปที่เดิม”


นอกจากนั้น ทรัมป์ยังเน้นย้ำถึง “ความยืดหยุ่น” ในการเจรจา และกล่าวว่าภาษีพื้นฐาน 10% สามารถเจรจาได้เช่นกัน โดยกล่าวว่า “ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาเพิ่มเข้ามา” โดยทรัมป์บอกว่า “เรามีบางส่วนที่ค่อนข้างจะเท่ากัน (ในทางการค้า) แต่สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเราในหลายๆ ด้าน และเราต้องการให้เรื่องนี้ได้รับการแก้ไข ดังนั้นทุกคนจึงมีความแตกต่างกันเล็กน้อย”


นอกจากนั้น ทรัมป์ยังกำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับจีน โดยเขาเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 145% หลังจากที่จีนเรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐ  สูงถึง 84%


อีกทั้ง แม้ว่าทรัมป์ หยุดเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆ เป็นเวลา 90 วันจะทำให้ตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้นในวันพุธ แต่ประเทศต่างๆ ยังคงต้องเสียภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% อยู่ โดยผู้สื่อขาวได้ถามทรัมป์ว่า “สำหรับภาษีศุลกากร 10 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นพื้นฐานหรือไม่ นั่นเป็นพื้นฐานหรือไม่ ประเทศต่างๆ สามารถเจรจาเรื่องนี้เพื่อลดภาษีศุลกากรนั้นลงได้หรือไม่”


ทรัม์ตอบว่า “มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเพิ่มอะไรเข้าไป คุณรู้ไหมว่าบางประเทศมี  เรามีการขาดดุลมหาศาล หรือพวกเขาเกินดุลมหาศาลกับเรา และบางประเทศก็ไม่ใช่แบบนั้น ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับว่า ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นจริงๆ  พวกเขาทั้งหมดต่างกัน ทุกประเทศต่างกัน บางประเทศมีข้อได้เปรียบบางอย่างที่บางประเทศไม่มี และบางสิ่งที่เรามี  จีนได้ดุลการค้าถึงล้านล้านดอลลาร์ ผมหมายถึงว่า ตัวเลขมันบ้ามาก และบางประเทศก็แทบจะไม่เกินดุลย์เลย คุณรู้ไหม เรามีเงินบางส่วนที่ค่อนข้างเท่ากัน แต่กลับสร้างความเสียหายให้เราในทางอื่น และเราแค่ต้องการจัดการเรื่องนั้น ดังนั้น ทุกคนก็แตกต่างกันเล็กน้อย”


ทั้งนี้ สำหรับจีนนั้น  อัตราภาษีศุลกากรสำหรับจีนจะอยู่ที่ 145% ซึ่งประกอบด้วยภาษีศุลกากรใหม่ 125% สำหรับสินค้าทุกประเภท นอกเหนือจากอัตราภาษี 20% ที่เรียกเก็บเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเฟนทานิล


สำรับภาษีศุลกากรที่สหรัฐประกาศมีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนี้มีดังนี้: 1. ภาษีศุลกากร 145% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากจีน 2. ภาษีศุลกากร 25% สำหรับอลูมิเนียม รถยนต์ และสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา และ 3. ภาษีศุลกากร 10% สำหรับสินค้านำเข้าอื่นๆ ทั้งหมด

ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่า เขาต้องการบรรลุข้อตกลงกับจีนเพื่อยุติสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยบอกว่า "จะเกิดอะไรขึ้นกับจีนนั้นหรือ เราอยากจะทำข้อตกลงให้ได้ พวกเขาใช้ประโยชน์จากประเทศของเรามาเป็นเวลานาน พวกเขาฉ้อโกงเกินขอบเขตกว่าใคร การที่คนอื่นยืนหยัดเพื่อข้อตกลงนี้ในฐานะที่ผมอยู่ในตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย เรากำลังพูดถึงประธานาธิบดีหลายคน ไม่ใช่แค่สองสามคน แต่พวกเขาทำ และทั้งหมดที่เรากำลังทำอยู่ก็คือการทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เรากำลังจัดโต๊ะเจรจาใหม่ และผมแน่ใจว่าเราจะสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ผมเคารพประธานาธิบดีสีมาก เขาเป็นเพื่อนของผมมาเป็นเวลานาน และผมคิดว่าเราจะสามารถหาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศได้ในที่สุด ฉันตั้งตารอสิ่งนี้"


ขณะที่ทางด้านจีน กระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงว่า จีนเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐ  "แต่การเจรจาดังกล่าวจะต้องดำเนินการบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันและเคารพซึ่งกันและกัน"


ในการตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ถามว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ กล่าวว่าปักกิ่งต้องการทำข้อตกลงแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร โดยนายเหอ หย่งเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวว่า “การกดดัน ข่มขู่ และแบล็กเมล์ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการจัดการกับจีน”


โฆษกทรัมป์แสดงความหวังว่า “สหรัฐฯ จะทำงานร่วมกับจีน” ผ่าน “การเจรจาและปรึกษาหารือ”

วันเดียวกัน ทางด้าน นายหลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ได้แถลงว่า จีนจะยังคงใช้มาตรการที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนเองต่อไป โดยนาย หลินกล่าวตอบข้อซักถามของสื่อ หลังจากที่จีนเตือนพลเมืองของตนให้ประเมินความเสี่ยงอย่างครบถ้วนก่อนเดินทางไปสหรัฐ


"สถานการณ์ที่คุณกล่าวถึงนั้นเกิดจากการกระทำที่ครอบงำและรังแกของสหรัฐฯ ที่ใช้แรงกดดันสูงสุด การกระทำเหล่านี้ทำให้รากฐานทางสังคมและสาธารณะของความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ อ่อนแอลง และขัดขวางการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างสองประเทศในหลายสาขา จีนจะยังคงใช้มาตรการที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนเองต่อไป"  

คุณอาจสนใจ

Related News