'ทรัมป์' จวก 'เซเลนสกี' ซ้ำอีกครั้ง ไม่สนใจสันติภาพ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน อีกครั้งในวันนี้ ระบุว่า เซเลนสกีไม่สนใจที่จะแสวงหาสันติภาพเลย


ท่าทีของทรัมป์มีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดียูเครนออกแถลงกล่าวว่า สันติภาพกับรัสเซีย ยังอยู่ห่างไกลมาก ซึ่งทำให้ทรัมป์โกรธอย่างมาก และกดดันเคียฟให้ยุติสงครามมากขึ้น


ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทรูธ โซเชียล ว่า “นี่คือคำกล่าวที่เลวร้ายที่สุดที่เซเลนสกีเคยพูดออกมา และอเมริกาจะไม่ยอมทนกับมันอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่ คน ๆ นี้ไม่ต้องการให้เกิดสันติภาพตราบใดที่เขาได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา และยุโรปในการประชุมกับเซเลนสกีได้ระบุอย่างชัดเจนว่า พวกเขาไม่สามารถทำงานได้หากไม่มีสหรัฐฯ นั่นอาจไม่ใช่คำกล่าวที่ดีนักที่จะออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านรัสเซีย พวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่”


ก่อนหน้านั้นไม่นาน เซเลนสกีได้ออกแถลงการณ์ ยอมรับว่าข้อตกลงยุติสงครามกับรัสเซียนั้นยังอีกยาวไกล มาก ๆ อย่างไรก็ตาม เขาคาดว่าประเทศของเขาจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯต่อ แม้การเจรจาข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์แร่ธาตุหายากกับสหรัฐฯ เพิ่งจะล่มไม่เป็นท่าก็ตาม


“ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเรา (กับสหรัฐฯ) จะดำเนินต่อไป เพราะมันเป็นมากกว่าความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราว ผมเชื่อว่ายูเครนมีความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาที่เข้มแข็งเพียงพอให้กระแสความช่วยเหลือยังดำเนินต่อไป”


ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ การเยือนทำเนียบขาวของเซเลนสกีต้องยุติลงกลางคัน หลังจากที่ทั้งสองปะทะกันที่ห้องทำงานโอวัลออฟฟิศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนกลายเป็นข่าวดังทั่วโลก จากนั้นเซเลนสกีเดินทางไปยังสหราชอาณาจักร ซึ่งผู้นำยุโรป ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และแคนาดา ต่างรีบหาจุดยืนร่วมกันเกี่ยวกับยูเครนในการประชุมฉุกเฉิน ก่อนจะยืนยันอีกครั้งว่าพวกเขาสนับสนุนยูเครน


ขณะเดียวกัน ทางด้าน นาย มาร์ก รัตต์ ผู้อำนวยการองค์การนาโต ได้ชี้ให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมากขึ้น ต่อการเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แนะนำว่าประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ควรเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นระหว่าง 3.0 ถึง 3.5% ของจีดีพี เพื่อตอบสนองต่อลำดับความสำคัญที่เปลี่ยนไปของวอชิงตัน และการทหารของรัสเซีย


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ประกาศว่าสหราชอาณาจักรจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็น  2.5% ของจีดีพี พร้อมทั้งลดงบประมาณความช่วยเหลือ และมีแผนจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการทหารเป็น 3% เร็ว ๆ นี้