ต่างประเทศ

ทรัมป์ 2.0 ฟอร์มทีม! ประเดิมตั้ง 'ซูซี ไวลส์' หัวหน้าจนท.ทำเนียบขาว พร้อมเปิดโผตัวเต็งตำแหน่งสำคัญ

โดย panwilai_c

8 พ.ย. 2567

58 views

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาเริ่มตั้งทีมบริหารชุดใหม่ หลังชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุด ประกาศแต่งตั้งนางซูซี่ ไวลส์ (Susie Wiles) หนึ่งในผู้จัดการทีมรณรงค์หาเสียงเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญนี้

ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมไวลส์ว่าเป็นคนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และมีส่วนสำคัญในการรณรงค์หาเสียงของเขาทั้งในปี 2559 และ 2563 นอกจากนี้ ทรัมป์ยังบอกอีกว่าไวลส์เป็นคนเข้มแข็ง ฉลาด มีความคิดริเริ่ม เป็นที่ชื่นชมและน่าเคารพนับถือ และเธอจะทำให้เราภาคภูมิใจ ซึ่งไวลส์ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว

ตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "แม่บ้านหรือพ่อบ้านทำเนียบขาว" เป็นตำแหน่งที่สำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งของฝ่ายบริหาร เพราะนอกจากการบริหารจัดการเจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาวแล้ว ยังเปรียบเสมือนกับผู้คัดกรอง และติดต่อประสานงานกับประธานาธิบดีโดยตรง รวมถึงจัดสรรเวลาและตารางการทำงานของประธานาธิบดี ติดต่อกับหน่วยงานของรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาด้วย

หลายคนที่เคยร่วมงานกับไวล์ส ยังได้กล่าวในการสัมภาษณ์ เมื่อวันพฤหัสบดีอีกว่า เธอจะสร้างความมั่นคงและให้คำแนะนำที่ชาญฉลาดแก่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในทำเนียบขาว

ทั้งนี้ ไวลส์ เป็นนักยุทธศาสตร์ทางการเมืองมาอย่างยาวนานและเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ยังได้รับคำชมอย่างมากที่สามารถทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวหลายแห่งเปิดเผยว่า ตอนนี้ ทรัมป์กำลังพิจารณาแต่งตั้งบุคคลอื่น ๆ เข้ามาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลใหม่ของเขา หนึ่งในคนที่ติดโผตัวเต็งที่จะเข้ามาทำงานในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 คือ นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลา, สเปซเอ็กซ์, และแอปพลิเคชันเอ็กซ์ หรือ ทวิตเตอร์เดิม

มัสก์ถือเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของทรัมป์ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ เขาเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินให้กับทีมหาเสียงของทรัมป์สูงถึง 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4,050 ล้านบาท) ซึ่งทรัมป์มีแนวคิดที่จะให้มัสก์เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำในกระทรวงใหม่ที่เขาจะตั้งขึ้นมาที่ชื่อว่า "กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency) หรือ ดอดจ์ (DOGE) ซึ่งจะทำหน้าที่ลดค่าใช้จ่ายและปฏิรูปกฎระเบียบของหน่วยงานรัฐบาลกลาง

ส่วนคนที่ 2 ที่มีชื่อติดโผ คือ นายโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F Kennedy Jr) หลานชายของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี ซึ่งเขาเคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนาม ผู้สมัครอิสระและเคยอยู่ฟากเดโมแครตมาก่อนจนครั้งนี้ประกาศสนับสนุนทรัมป์

ในช่วง 2 เดือนท้ายของการหาเสียง เคนเนดี จูเนียร์เป็นผู้นำในแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ที่มีชื่อว่า เมค อเมริกา เฮลธี อะเกน (Make America Healthy Again) ซึ่งทรัมป์สัญญาว่าจะให้เขาเข้ามารับตำแหน่งในหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC และคณะกรรมการอาหารและยา หรือ FDA

นอกจากนี้ ยังมีนายไมค์ ปอมเปโอ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐแคนซัส ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือ CIA และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลของทรัมป์สมัยแรก เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่คาดว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านฝั่งพรรคเดโมแครต ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกแถลงการณ์ต่อสาธาณะเป็นครั้งแรก โดยรับปากจะเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติและเป็นระเบียบ พร้อมเรียกร้องให้ชาวอเมริกันลดอุณหภูมิทางการเมืองลง

ไบเดนยังบอกว่าได้พูดคุยและแสดงความยินดีกับทรัมป์แล้ว และสัญญาว่าจะช่วยเขาถ่ายโอนอำนาจอย่างเป็นระบบ นอกจากนั้น ไบเดนยังกล่าวชื่นชมรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตด้วย โดยไบเดนบอกว่าแฮร์ริสมีความกล้าหาญและควรภูมิใจกับงานที่เธอทำ

ขณะที่ฝั่งนานาชาติ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียได้ออกมาแสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัย และว่ารัฐบาลมอสโกพร้อมเจรจากับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา

ปูตินยังได้ชื่นชมความกล้าหาญของทรัมป์ หลังจากเขาถูกลอบยิงระหว่างการหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ส่วนทางด้านจีน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ส่งข้อความแสดงความยินดีไปให้กับทรัมป์ พร้อมเรียกร้องให้จีนและสหรัฐฯ เสริมสร้างการเจรจาและการสื่อสาร พร้อมกับจัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม โดยทั้งสองประเทศจะต้องหาทางที่ถูกต้อง เพื่ออยู่ร่วมกันในยุคใหม่นี้ เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศและทั่วโลก

คุณอาจสนใจ

Related News