21 เม.ย. 2568
ผลสำรวจยูนิเซฟ–นิด้า ชี้โรงเรียนส่วนใหญ่ในสงขลา-ยะลา-นราธิวาส ยังขาดความพร้อมรับมือภัยพิบัติ
ผลสำรวจยูนิเซฟ–นิด้าพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ในสงขลา ยะลา และนราธิวาสยังขาดความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติ โดยความเสียหายและการหยุดชะงักทางการศึกษาสามารถป้องกันได้ หากมีนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานที่รับมือสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น
กรุงเทพฯ 4 ธันวาคม 2568 – จากเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงในหลายจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยที่ส่งผลให้การเรียนของเด็กจำนวนมากต้องหยุดชะงัก ผลสำรวจล่าสุดจากยูนิเซฟ–นิด้าชี้ให้เห็นว่า หากมีการเตรียมความพร้อมที่ดีขึ้น ความเสียหายและการหยุดชะงักของการเรียนจะสามารถป้องกันหรือบรรเทาได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผลสำรวจซึ่งจัดทำก่อนเกิดสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงครั้งนี้ พบว่าโรงเรียนในจังหวัดสงขลา ยะลา และนราธิวาส มักเผชิญกับพายุฝนตกหนักและน้ำท่วมซ้ำ ๆ ตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่โรงเรียนจำนวนมากยังขาดความพร้อมในการรับมือน้ำท่วมและภัยจากสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ประสบปัญหาในการเข้าถึงสาธารณูปโภคและสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะน้ำดื่มสะอาด นอกจากนี้ ยังขาดการฝึกอบรม ขาดทรัพยากรในการปกป้องเด็ก และไม่สามารถจัดการเรียนการสอนต่อเนื่องได้เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติฉุกเฉิน

ข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ ณ วันนี้ ระบุว่า อุทกภัยครั้งล่าสุดในภาคใต้ส่งผลกระทบต่อนักเรียนเกือบ 148,000 คน และครู 8,290 คน และโรงเรียน 1,090 แห่งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลา ซึ่งขณะนี้ชุมชนต่าง ๆ กำลังเริ่มกระบวนการฟื้นฟูซึ่งอาจใช้เวลายาวนาน

การสำรวจ “ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความช่วยเหลือที่โรงเรียนต้องการ” จัดทำโดยยูนิเซฟและนิด้าระหว่างเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 โดยเก็บข้อมูลจากโรงเรียนของรัฐ 329 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงโรงเรียนเฉพาะความพิการ 14 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใน 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยในภาคใต้ตอนล่างเก็บข้อมูลจากโรงเรียน 49 แห่งในสงขลา, 24 แห่งในยะลา และ 37 แห่งในนราธิวาส

โรงเรียนในทั้งสามจังหวัดสะท้อนสถานการณ์ในทิศทางเดียวกัน คือการเผชิญพายุฝนตกหนัก น้ำท่วม และการเรียนที่ต้องหยุดชะงักบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น โรงเรียนเกือบร้อยละ 80 ในจังหวัดสงขลาระบุว่า นักเรียนได้รับผลกระทบในการเข้าถึงบริการสาธารณูปโภค และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ โดยเฉพาะน้ำดื่มและอาหารที่สะอาด ขณะที่ในยะลา โรงเรียนกว่า 3 ใน 4 แห่งคาดว่าในอนาคตอาจเกิดผลกระทบด้านสุขภาพและชีวิตของนักเรียน เช่น การเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากภัยพิบัติ ส่วนนราธิวาส ซึ่งเผชิญภัยสภาพอากาศรุนแรงเช่น พายุฝนตกหนักและน้ำท่วมบ่อยที่สุด พบว่าโรงเรียนกว่าร้อยละ 70 ประสบปัญหาการเข้าถึงสาธารณูปโภค อาคารเรียนเสียหาย และทำให้มีการหยุดการเรียนการสอน

ผลสำรวจยังพบช่องว่างด้านการเตรียมความพร้อมอย่างชัดเจนทั่วทั้งภูมิภาค ครูประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่าไม่เคยได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวมาก่อน หลายโรงเรียนประเมินว่าความพร้อมของตนเองอยู่เพียง “ระดับปานกลาง” โดยนักเรียนส่วนใหญ่ยังมีความรู้จำกัดเกี่ยวกับภาวะโลกรวนและการรับมือกับสภาพอากาศรุนแรง โรงเรียนกว่า 3 ใน 4 แห่งในทั้งสามจังหวัดเห็นตรงกันว่า การอบรมด้านการรับมือกับสภาพภูมิอากาศรุนแรงสำหรับครูและนักเรียน ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมในโรงเรียนเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ นอกจากนี้ โรงเรียนจำนวนมากรายงานว่าแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือหลังเกิดเหตุภัยพิบัติครั้งก่อน ๆ

“ผลสำรวจนี้สะท้อนว่า แม้แต่ละจังหวัดจะมีบริบทที่แตกต่างกัน แต่ความเปราะบางที่เด็กต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายกันมาก และการหยุดชะงักของการเรียนในหลายกรณีเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้” นางเซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว “เด็กทุกคนจำเป็นต้องได้รับการปกป้องที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการสูญเสียการเรียนรู้ ทั้งในเรื่องการเข้าถึงน้ำสะอาด อาหาร สุขอนามัย ห้องเรียนที่ปลอดภัย หรือการอบรมครู”

ในสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงครั้งนี้ ยูนิเซฟได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วน โดยจัดส่งชุดสุขอนามัยและสิ่งของจำเป็น เช่น ผ้าอ้อม ผ้าห่ม และยากันยุง ให้แก่เด็กและครอบครัวเกือบ 18,000 คน ในสงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา พร้อมทั้งจัดส่งของใช้สำหรับทารกและ “ถุงมหัศจรรย์” (Magic Bag) ที่บรรจุของเล่น หนังสือระบายสี และสื่อการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้เด็กยังคงได้เล่นและเรียนรู้ต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ยากลำบาก นอกจากนี้ ยูนิเซฟยังพร้อมสนับสนุนรัฐบาลและหน่วยงานการศึกษาในการช่วยให้เด็กกลับเข้าเรียนโดยเร็วที่สุด และจัดพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็ก รวมถึงการให้ความช่วยเหลือแบบเงินสดแก่ครอบครัวที่เปราะบางที่สุด เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านชุดนักเรียนและอุปกรณ์ที่จำเป็น

ในระยะยาว ยูนิเซฟกำลังทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อผลักดัน “การศึกษาเพื่อรับมือสภาพภูมิอากาศ (Climate Smart Education)” เพื่อให้โรงเรียนทั่วประเทศมีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ ยูนิเซฟและพันธมิตรกำลังจัดทำแนวทางการการเตรียมพร้อมโรงเรียนให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบที่สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศรุนแรงได้ดียิ่งขึ้น
“ขณะที่การฟื้นฟูกำลังเริ่มต้น เรามีโอกาสสร้างโรงเรียนให้แข็งแกร่งกว่าเดิม” เลโอนาร์ดีกล่าว “เด็กทุกคนควรมีสถานที่ปลอดภัยสำหรับใช้ชีวิตและเรียนรู้ ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่รวมถึงในอนาคตไม่ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศแบบใดก็ตาม”

ปัจจุบันประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 17 ในดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (CRI) ปี 2569 ของ Germanwatch จากอันดับที่ 72 ในปี 2566 ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางที่เพิ่มขึ้นของประเทศต่อภัยสภาพอากาศรุนแรง ขณะเดียวกัน รายงาน Over the Tipping Point ของยูนิเซฟใน ปี 2566 ระบุว่า เด็กจำนวน 10.8 ล้านคนในประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากอุทกภัยและภัยแล้ง และเด็กที่เกิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในปัจจุบันกำลังเผชิญภัยพิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศมากกว่าคนรุ่นปู่ย่าตายายถึง 6 เท่า
เกี่ยวกับการสำรวจ
การสำรวจ “ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความช่วยเหลือที่โรงเรียนต้องการ” จัดทำโดยนิด้า ด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ โดยเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์และการลงพื้นที่สัมภาษณ์ครูจากโรงเรียน 329 แห่งใน 14 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยเน้นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศรุนแรงในช่วงสามปีที่ผ่านมา
ดาวน์โหลดผลการสำรวจฉบับเต็มได้ที่
EN: https://unicef.link/3XtZIEI
TH: https://unicef.link/3K23Ybq
4 ธ.ค. 2568
9 views
EP อื่นๆ
21 เม.ย. 2568
21 เม.ย. 2568
22 เมษายน วันคุ้มครองโลก “พลังของเรา พลังของโลก”
21 เม.ย. 2568
19 เม.ย. 2568
18 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
16 เม.ย. 2568
15 เม.ย. 2568
15 เม.ย. 2568
14 เม.ย. 2568
12 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568