20 ก.ย. 2567
ชาวเน็ตจวกยับ รถเมล์สายดัง ชนหลวงพี่ขณะข้ามทางม้าลาย เผยถ้าไม่มีคนห้ามโดนเหยียบไปแล้ว
weerawit_c
คุณต้องการล้างการแจ้งเตือนทั้งหมด?
สภาผู้บริโภค ช่วยเหลือกรณีผู้บริโภคถูกธนาคารบัตรเครดิตฟ้องคดี จากการถูกมิจฉาชีพแฮกแอปฯ บัตรเครดิตและดูดเงิน
วันนี้ (19 ก.ย.) นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้บริโภคถูกมิจฉาชีพเข้าถึงแอปพลิเคชันบัตรเครดิต และเบิกถอนเงินสดออกไปยังบัญชีธนาคาร อีกทั้งยังถูกดูดเงินออกจากบัญชีธนาคาร จึงได้โทรศัพท์เพื่อแจ้งธนาคารและแจ้งความไว้ด้วย ต่อมาผู้บริโภครายดังกล่าวถูกธนาคารบัตรเครดิตฟ้องเนื่องจากไม่ได้ชำระค่าบริการตามรายการที่ถูกมิจฉาชีพเบิกถอน จึงมาร้องเรียนที่สภาผู้บริโภคเพื่อให้ช่วยเหลือด้านคดี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 ศาลแขวงระยอง ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ 4 ประการ ได้แก่ 1) หลังจากเกิดเหตุผู้บริโภครีบแจ้งธนาคารบัตรเครดิตทันที ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าผู้บริโภคได้รีบดำเนินการเมื่อทราบเหตุ แต่เมื่อ บริษัทฯ ทราบเรื่องจากผู้บริโภคแล้วกลับเพียงแจ้งให้ผู้บรโภคไปแจ้งความกับตำรวจและไม่ได้ดำเนินการอื่น เพื่อปกป้องไม่ให้เงินถูกถ่ายโอนไปยังบัญชีอื่น ๆ
2) เงินที่ถูกโจรกรรมเป็นเงินของธนาคารบัตรเครดิตไม่ใช่เงินของผู้บริโภคฯ
3) ธนาคารบัตรเครดิตฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินและเป็นจ้าของเงินที่ถูกคนร้ายโจรกรรมไป สามารถสร้างเครือข่ายร่วมกัยธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเพื่อระงับหรือายัดเงินดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบได้ แต่กลับไม่รวมกลุ่มกันเพื่อยกระดับการป้องกันภัยทุจริตดังกล่าว
4) แนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุถึงเรื่องการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร โดยข้อ 3.2 กำหนดชัดเจนว่า “กรณีเหตุการณ์ทุจริตที่มีผู้ถือบัตรได้รับความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านบัตร และมีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการต้องเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ถือบัตรอย่างครบถ้วน” ดังนั้น เป็นความรับผิดชอบของธนาคารบัตรเครดิตฯ ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ควรมาฟ้องผู้บริโภคต่อศาล
หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองฯ กล่าวย้ำว่า การที่ธนาคารบัตรเครดิตฯ ฟ้องร้องผู้บริโภคในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามมาตร 12 ของพ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ศาลจึงมีคำสั่งยกฟ้อง นอกจากนี้นายโสภณยังมองว่าการเรียกร้องให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกค้าให้รับผิด เป็นการใช้สิทธิโดยไม่เป็นธรรมและทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาอันเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมการเงินด้วยตัวเอง และเงินที่โอนออกไปไม่ใช่เงินของผู้บริโภค จึงไม่ควรผลักภาระให้ผู้บริโภครับผิดชอบหนี้สินบัตรเครดิตได้
“คำพิพากษาของศาลแขวงระยอง ถือเป็นมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งกำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะต้องมีความรับผิดชอบต่อเงินที่ถูกโอนออกไปจากภัยทุจริตทางการเงินเอง ไม่ใช่มาฟ้องคดีให้ผู้บริโภครับผิด และคำพิพากษานี้ยังย้ำถึงหน้าที่ของธนาคารที่ต้องสร้างเครือข่าย ร่วมกับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเพื่อระงับ ยับยั้ง หรืออายัดเงินที่ลูกค้าผู้ถือบัตรได้แจ้งเหตุว่าถูกมิจฉาชีพหลอกลวงไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบโดยง่าย และย้ำอีกว่าธนาคารต้องทำตามประกาศของแบงก์ชาติ จึงเห็นว่าธนาคารทุกธนาคาร สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการบัตรเครดิต ต้องยยึดคำพิพากษานี้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และไม่ควรอุทธรณฺคดี” นายโสภณกล่าวและว่า ข้อสังเกตหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคือ หากผู้บริโภคโดนมิจฉาชีพดูดเงินต้องรีบแจ้งธนาคารและแจ้งความกับตำรวจทันที ซึ่งจะช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ใจของผู้บริโภคว่าไม่ใช่ผู้ทำธุรกรรม และเป็นข้อสำคัญที่จะใช้ต่อสู้ในคดีด้วย
สำหรับรายละเอียดของคดีดังกล่าว นายโสภณเล่าว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ผู้บริโภคได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน แจ้งเตือนว่าผู้ร้องต้องชำระภาษีที่อยู่อาศัยเป็นวันสุดท้าย โดยเสนอให้ชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ บุคคลที่โทรศัพท์มามีข้อมูลเกี่ยวกับเลขที่โฉนดที่ดินของผู้บริโภค ทำให้หลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง
จากนั้นผู้บริโภครายดังกล่าวได้เพิ่มเพื่อนผ่านแอปฯ ไลน์และทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแนะนำ โดยกดลิงก์เพื่อดาวน์โหลดแอปฯ และกรอกข้อมูลส่วนตัว ระหว่างกระบวนการยืนยันตัวตน ผู้บริโภคเกิดสงสัยและหยุดดำเนินการพร้อมปิดโทรศัพท์ แต่พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว บัตรเครดิตของตัวเองถูกใช้ในการขอเพิ่มวงเงินและเบิกถอนเงินสด 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 35,000 บาท ซึ่งถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยของผู้บริโภคเอง จากนั้นเงินถูกโอนออกไปยังบัญชีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก
นายโสภณ กล่าวอีกว่า หลังจากรู้ตัวผู้บริโภคพยายามขอความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการบัตรเครดิต แต่ได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความเพียงอย่างเดียว จึงได้ดำเนินการแจ้งความกับตำรวจและร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสภาผู้บริโภค ทั้งนี้ ผู้บริโภคยืนยันว่าหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการกระทำของตัวเอง แต่เกิดจากการถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองการดำเนินคดี สภาผู้บริโภค ได้พิจารณาหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้ว จึงมีมติให้ช่วยเหลือผู้บริโภครายดังกล่าว ในด้านการดำเนินคดีโดยได้แต่งตั้งทนายความเข้าช่วยเหลือจนกระทั่งศาลยกฟ้องในที่สุด
โดย olan_l
19 ก.ย. 2567
348 views
20 ก.ย. 2567
weerawit_c
20 ก.ย. 2567
thichaphat_d
20 ก.ย. 2567
thichaphat_d
20 ก.ย. 2567
thichaphat_d
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
panwilai_c
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567