บันเทิง

'ม้า อรนภา' แจงปม 'กินปู' มือไวเกินไป ยันไม่ได้ตบ แค่ 'แตะหน้า' ขอโทษเคลียร์ใจกันแล้ว

โดย nattachat_c

1 ธ.ค. 2565

20 views

ม้า อรนภา แถลงเปิดใจ "แค่แตะไม่ได้ตบ" นักแสดงหนุ่มรุ่นน้อง แต่เป็นคนมือไว ขอโทษทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม หลังเกิดเรื่องก็คุยจนเข้าใจ น้องยันจะไม่บอกใคร แม้แต่ผู้จัดการ แต่กลับเป็นข่าวที่ไทย เมื่อวันก่อนเพิ่งเจอกันตอนตัดไหม น้องยังบอกว่าไม่คิดเป็นเรื่องใหญ่โต เพียงแค่ต้องการสั่งสอนเท่านั้น ทนายตั้ม โพสต์ทันควัน “ผมเชื่อว่าคนงงแบบผมทั้งประเทศ เอ้าแตะก็แตะวะ 5555”


บ่ายวานนี้ (30 พ.ย. 65) เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม้า อรนภา กฤษฎี ดารารุ่นใหญ่ แถลงข่าวเปิดใจเป็นครั้งแรก ชี้แจงกรณีที่ตกเป็นข่าวดารารุ่นใหญ่ตบหน้าดาราชายรุ่นกลางห้างสรรพสินค้าที่เกาหลีใต้ สาเหตุเพราะไม่พอใจที่ดาราชายปฏิเสธไม่ไปกินปูด้วย


โดยม้า อรนภา กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอบคุณกำลังใจที่ส่งเข้ามาให้เยอะมาก โดยหลังจากเกิดเหตุขึ้น ตนได้เขียนข้อความเอาไว้ตั้งใจที่จะโพสต์ลงโซเชียลแต่มีคนแนะนำว่าให้เงียบไว้ก่อน ซึ่งวันนี้ตนจะพูดในสิ่งที่ตนได้เขียนไว้ก่อน


โดยสิ่งที่ตนได้เขียนไว้ คือ ตนขอโทษและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากๆ ซึ่งยอมรับผิดทุกอย่างและก็ได้ขอโทษพร้อมกับปรับความเข้าใจกับดาราชายไปแล้ว แต่ก็ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นดาราชายยังมีสิ่งที่คาใจจนต้องไปปรึกษาทนายความ ซึ่งหลังเกิดเรื่อง ตนพยายามที่จะติดต่อดาราชายอยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ดาราชายก็ไม่กล้าจะมาเจอหน้าตน ตนจึงต้องพูดคุยผ่านอดีตผู้จัดการของดาราชายแทน


ทั้งนี้ เรื่องรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอยากให้รอฟังจากปากของทั้ง 2 คนดีที่สุด อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจจากข่าว และตนฝากขอโทษไปถึงพ่อแม่ของดาราชาย / ขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวเอง และตนพร้อมยอมรับในผลที่จะตามมา


จากนั้น ม้า อรนภา ได้เปิดใจชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเล่าว่า ตนเองได้ทำการตลาดให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมที่เกาหลีใต้มานานแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้รู้จักดาราชายผ่านทางผู้จัดการของน้อง ซึ่งตนก็ยังบอกน้องว่าน้องเป็นคนหล่อแต่อาจจะต้องทำจมูกเพิ่ม หากจะเข้าวงการบันเทิง


หลังจากนั้น ผู้จัดการก็ติดต่อกลับมาบอกว่า น้องตัดสินใจจะไปทำศัลยกรรมกับตน ตนจึงจัดการติดต่อกับทางเกาหลีใต้ให้ทุกอย่าง จนเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งปกติแล้วเวลาที่ตนพาใครไปทำศัลยกรรม ตนก็จะดูแลอย่างดีทุกอย่าง ตลอดเวลาที่เดินทางไป ซึ่งกับน้องดาราชายคนนี้ ระหว่างที่ไปด้วยกัน ก็ได้มีการพูดคุยกัน และตนก็มีการสอนและแนะนำน้องในหลายข้อในฐานะที่น้องกำลังจะเข้าสู่วงการบันเทิง ซึ่งน้องก็รับฟัง และเรียกตนว่าแม่


จนก่อนวันที่จะไปทำศัลยกรรม ตนก็ได้แนะนำว่าอยากจะไปกินอะไร ไปกินปูไหม น้องก็บอกว่า อยากไป ชอบกินปู ตนจึงทำการจองร้านไว้เรียบร้อย ซึ่งร้านค่อนข้างหายาก เพราะมีหลายร้านที่ต้องปิดตัวไปในช่วงโควิด-19 


จากนั้น ก็ได้มีการไปเดินช็อปปิ้งซื้อของกัน ซึ่งตนนั่งรอน้องอยู่ที่คาเฟ่ และปล่อยให้น้องไปเดินช็อปปิ้งเอง ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง น้องก็กลับมาพร้อมกับถุงเต็มไม้เต็มมือ ตนเลยถามว่าไหวไหม เพราะโดยปกติแล้วถ้าเดินช็อปปิ้งนานๆ ตนก็จะไม่อยากไปไหนต่อแล้ว แต่น้องก็ตอบว่าไหว และระหว่างที่เดินช็อปปิ้งต่อ ตนก็ยังพยายามถามย้ำอยู่อีกประมาณ 2-3 ครั้งว่าไหวไหม ถ้าไม่ไหวให้บอกจะได้เปลี่ยนแผน แต่น้องก็บอกว่าไหว


จนมาถึงเหตุการณ์ตามคลิปวงจรปิด เมื่อตนซื้อรองเท้าเสร็จและกำลังจะไปกินปูกันตามที่ได้จองร้านเอาไว้ อยู่ๆ น้องก็พูดขึ้นมาว่า ไม่ไปกินปูแล้วนะ ตอนนั้นตนยอมรับว่าเป็นคนมือไว เลยแตะไปที่หน้าของน้อง พร้อมพูดว่า จะบ้าหรอ ซึ่งย้ำว่าเป็นการแตะไม่ใช่การตบ ลักษณะเหมือนเป็นการสั่งสอนเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการเผลอแตะแขนแตะไหล่อยู่แล้ว


โดยเจตนาของตน คือต้องการจะสอนว่าอย่าพูดแบบนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการผิดนัด แต่เมื่อทำไปแล้ว น้องมีอารมณ์โมโห พูดว่า ตบหน้าผมเลยหรอ ถ้าเป็นคนอื่นผมด่าไปแล้ว และน้องก็พยายามเดินหนี ตนจึงได้สติว่าไม่น่ามือไว รู้สึกแย่ เสียใจมาก จึงรีบเดินไปจับน้องไว้ แล้วบอกว่าขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ตนทำไปเพราะตกใจที่อยู่ๆ น้องก็จะเปลี่ยนแผน


จากนั้นน้องก็บอกว่าอยากขอเวลาอยู่คนเดียวก่อน ตนเลยเดินตามห่างๆ แล้วไปยืนกินข้าวโพดรอให้น้องอารมณ์เย็นลง สักพักก็เข้าไปคุยกันจนเข้าใจกัน น้องก็บอกเองว่า เรื่องนี้จะรู้กันแค่สองคน ผมจะไม่บอกใครแม้กระทั่งผู้จัดการ และน้องก็บอกว่าผมเคารพแม่มาก แม่สอนอะไรหลายอย่าง พร้อมกับเข้ามากอดตน และบอกว่าไปกินปูกันครับ จากนั้นจึงไปกินปูด้วยกัน และพูดคุยกันตามปกติ ซึ่งระหว่างกินน้องก็บอกว่าจริงๆ แล้วผมอยากกลับไปดูละครให้ทัน เมื่อกินเสร็จจึงกลับโรงแรม และนัดหมายไปทำศัลยกรรมในวันรุ่งขึ้น



พอหลังจากทำศัลยกรรมเสร็จ ระหว่างช่วงพักฟื้น น้องก็หลีกเลี่ยงการไปกินข้าวกับตน แต่จะซื้อขนมปังมากินเอง ตนก็ปล่อยให้น้องพัก แต่ก็พยายามโทรถาม และเตือนให้กินยาอยู่ตลอด และตัดสินใจไปเคาะห้อง น้องก็บอกว่า เดี๋ยวๆ โป๊อยู่ พอเข้าไปก็พูดคุยกันตามปกติ จนผ่านไป 3 วัน ต้องไปถอดเฝือกล้างแผลด้วยกัน น้องก็ยังพูดคุยกับตนตามปกติ ยังถ่ายรูปถ่ายคลิปให้ แต่พอออกมาจากโรงพยาบาล น้องบอกว่าเดี๋ยวเจอกันวันที่ 29 เลยคือวันที่ตัดไหม


ซึ่งระหว่างนั้นตนก็ได้ทักไลน์ไปหาผู้จัดการของน้องเพื่อจะถามว่าน้องคนนี้เป็นคนยังไง ผู้จัดการก็โทรกลับมาบอกว่า ไม่ได้ดูแลน้องคนนี้แล้ว ยกเลิกสัญญาเพราะว่าเพิ่งทะเลาะกันไป ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏเป็นข่าวดังที่ประเทศไทย โดยตนรู้จากผู้จัดการของน้องที่โทรมาบอกให้ตนรีบออกจากประเทศเกาหลีใต้ และในโซเชียลก็มีทัวร์มาลงตนเยอะมาก ซึ่งพอรู้เรื่องตนก็พยายามโทรศัพท์หาน้องทันที แต่น้องไม่รับสาย ตนจึงส่งข้อความไปว่า ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ แต่น้องไม่ตอบกลับ ตนเลยลบข้อความทิ้ง และเมื่อกลับไปที่โรงแรมก็เห็นว่าน้องเก็บของย้ายออกไปจากห้องหมดแล้ว


จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 พ.ย. น้องมีนัดตัดไหมก่อนเดินทางกลับ ตนถึงเพิ่งได้เจอน้องเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดเรื่อง ซึ่งน้องได้บอกกับตนว่า พี่คงไม่เครียดหรอก เพราะผ่านอะไรมาเยอะ แต่ผมเครียดมาก เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต ผมแค่ต้องการจะสั่งสอนพี่ว่า ไม่ควรไปตบหน้าใคร ซึ่งตนก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร


ทั้งนี้ ตนไม่รู้ว่าใครเป็นคนแนะนำให้น้องไปปรึกษาทนายความ แต่ทราบมาว่าน้องได้ทักไปหาทนายความหลายคน แต่มีเพียงคนเดียวที่ตอบกลับมา อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะหลายคนก็บอกว่าเอาผิดไม่ได้ ส่วนการที่น้องไปแจ้งความไว้ที่เกาหลีใต้ ตนได้ให้สถานทูตไทยเช็คไปยังสถานีตำรวจเมียงดงแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าเหตุการณ์แบบนี้ในแต่ละวันมีเยอะมาก ลักษณะเหมือนแค่ลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อที่จะนำไปขอคลิปกล้องวงจรปิด และตลอดเวลาที่อยู่ที่เกาหลีใต้จนถึงเดินทางกลับมา ก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาหาตนแต่อย่างใด


ส่วนกับน้อง ตนยังหวังดีด้วยเสมอ แต่ไม่รู้ว่าน้องจะยังรู้สึกดีกับตนหรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่ก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำแบบนี้ แต่สำหรับตนเรื่องระหว่าง 2 คน จบไปตั้งแต่ที่ขอโทษกันแล้วไปกินปูด้วยกันแล้ว


ส่วนกรณีที่มีบุคคลที่สามออกมาพูดถึงเรื่องนี้จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ยอมรับว่าทำให้ตนเสียหายมาก แต่หากเทียบกับช่วงที่ตนโดนให้ออกจากงาน ก็เป็นเรื่องที่ใหญ่โตกว่ามาก ตนยังสามารถให้อภัยได้ ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนที่ไม่เข้าใจกัน ตนก็ไม่คิดว่าจะเอาเรื่องไปบอกกับทนายความ ยอมรับว่ารู้สึกไม่ดี แต่ตนควบคุมอารมณ์ได้ ส่วนจะฟ้องใครหรือไม่ ตนคงยังตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้เรื่องกฎหมาย ส่วนกับทนายความที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้จนไม่มีอะไรจะฝากถึง และในวันนี้ (1 ธ.ค.) ตนจะได้เจอกันกับน้องเพื่อเคลียร์ใจกันในรายการคุยแซ่บโชว์ด้วย


เมื่อถามว่า คิดว่าน้องดาราชายนำเรื่องนี้มาเปิดเผยกับทนายความ เพื่อจะใช้ชื่อเสียงของตนมาสร้างกระแสให้ตัวเองหรือไม่ ม้า อรนภา ตอบว่า ตนไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรแล้ว และเมื่อถามถึงประเด็นเรื่องชู้สาว ม้า อรนภา ยืนยันว่าไม่มีแน่นอน ตนแก่ขนาดนี้แล้ว ส่วนที่ไปเคาะห้องก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องไปดูแลลูกค้าว่าหลังจากทำศัลยกรรมมาหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรผิดปกติหรือไม่ พร้อมยืนยันหลังจากนี้ยังจะทำการตลาดให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมต่อไป และทิ้งท้ายว่า ถ้าอยากทำศัลยกรรม ให้ไปกับตน รับรองจะดูแลอย่างดี เลี้ยงปูและไม่ตี ขอให้พูดกันดีๆ


โดยภายกลังจากที่ม้า อรนภา ได้แถลงเปิดใจ เพจ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 16.19 น. โดยระบุว่า “ผมเชื่อว่าคนงงแบบผมทั้งประเทศ เอ้าแตะก็แตะวะ 5555”

-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/A8--pADb04A

คุณอาจสนใจ

Related News