เศรษฐกิจ

เคาะแล้ว! เงื่อนไขแจกเงินดิจิทัล รายได้ไม่เกิน 7 หมื่น-เงินฝากไม่เกิน 5 แสน พร้อมขยายพื้นที่ใช้จ่าย

11 พ.ย. 2566

235 views

นายกฯ เคาะแล้วเงินดิจิทัล10,000 บาทให้ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทและมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ใช้ได้ในเขตอำเภอ ตามบัตรประชาชน เริ่มพฤษภาคม 2567 ผ่านแอปเป๋าตัง 

วานนี้ (10 พ.ย.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการแถลงข่าวนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ขอบอกข่าวดีกับประชาชน โครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่คนฝันแต่กำลังจะเป็นความจริง รัฐบาลได้หาข้อสรุปที่ดีที่สุดในการกระตุ้นและสร้าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท ซึ่งจะอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคนและอีก1 แสนล้านบาท ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ และทุกอย่างที่จะแถลงวันนี้ยังต้องผ่านกระบวนการตามกฏหมายและต้องมีมติคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องก่อนจะสรุปสุดท้ายอีกครั้ง


นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตัวเลขที่ออกมา เกิดจากการที่รัฐบาลได้ฟังความคิดเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันและปรับเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้รัดกุมขึ้น โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิ์การใช้จ่าย 10,000 บาท ให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป พี่มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 500,000 บาท ซึ่งประโยคนี้แปลว่า ถ้ารายได้เกิน 70,000 บาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ หรือถ้ารายได้น้อยกว่า 70,000 บาทแต่มีเงินฝากมากกว่า 500,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์เช่นกัน


โดยให้สิทธิ์ครั้งแรกเป็นเวลา 6 เดือนหลังจากการเริ่มโครงการ และขยายพื้นที่ใช้จ่ายครอบคลุมระดับอำเภอ ตามที่ได้รับฟังความคิดเห็นมา พร้อมกันนี้จะใช้เงินในการเพิ่มขีดความสามารถ ภายใต้งบ 1 แสนล้านบาท และส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ


นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า Digital Wallet 10,000 บาทที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้ นโยบายนี้ คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เงินทั้งหมดในโครงการนี้ จะถูกส่งตรงไปให้กับประชาชนทุกคนที่ผ่านเงื่อนไขเข้าไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล ขอบเขตการใช้งาน จะใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชน ซึ่งปรับขยายมาตามความเห็นของทุกภาคส่วน และต้องจ่ายเงินกันแบบ Face-to-face เรื่องของระยะเวลา 6 เดือนสำหรับการใช้ “ครั้งแรก” ก็ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียน และหากไม่ได้ใช้ สิทธิที่เหลืออยู่ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ และเงินที่ถูกใช้และเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว จะสามารถใช้จับจ่ายต่อได้จนถึงเดือนเมษาปี 2570


เงินก้อนนี้ไม่ได้มาจากการเสกเงิน สร้างเงิน พิมพ์เงิน หรือออกเหรียญผ่าน Initial Coin Offering แต่อย่างใด และไม่ได้เป็นการนำเงินไปซื้อเหรียญมาแจก และนำไปเทรด แลกเปลี่ยน โอนให้กันและกัน เก็งกำไรไม่ได้ เงินตัวนี้จะมีที่มาจากเงินบาท และมีมูลค่าเป็นเงินบาท ที่มีเงื่อนไขในการใช้งาน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูงกว่าอัดฉีดที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเงิน 1 บาทในโครงการนี่้ ก็คือ 1 บาทในกระเป๋าเงินของทุกท่าน ที่สามารถใช้จ่ายได้ โครงการนี้ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ ทั้งร้านค้า และยืนยันรับสิทธิโดยประชาชน


ส่วนเงื่อนไข ซื้ออะไรได้ ไม่ได้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ประชาชนจะสามารถจะใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับบริการได้ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้ ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้ ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ได้ ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้


ขณะที่เรื่องของที่มาที่ไปของ เลข 70,000 และ 500,000 ว่ามาจากไหน  ครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 70,000 หรือมีเงินในบัญชีรวม 500,000 บาท มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าอีกกลุ่มอย่างมีนัยยะสำคัญ ท่านอาจจะบอกว่าครอบครัวนึงเฉลี่ยมี 3 คน ต้องเป็นเลขประมาณ 23,000 แต่จุดประสงค์นโยบายนี้คือทำให้ประชาชนได้รับสิทธิอย่างทั่วถึงมากที่สุด จึงเป็นไปได้ว่าบางครอบครัวที่มีรายได้จากคนเดียว ก็ควรได้รับสิทธิด้วย จึงเป็นที่มาของเลข 70,000 ส่วนเลข 500,000 ก็มาจากการคำนวณว่าถ้าคนเงินเดือน 70,000 มีแนวโน้มที่จะมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท ทำให้ประเมินได้ว่าคนที่มีเงินเก็บ 500,000 และคนที่มีเงินเดือน 70,000 เป็นคนกลุ่มเดียวกัน โดยเลขเหล่านี้ จะพิจารณาจากฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง


จากเงื่อนไขและการศึกษาทั้งหมด ทำให้กลั่นกรองผู้ได้รับสิทธิในโครงการ Digital Wallet เหลือประมาณ 50 ล้านคน และจะใช้วงเงินในโครงการนี้เหลือเพียงประมาณ 5 แสนล้านบาท และเงินอีก 100,000 ล้านบาท จะสามารถนำใช้ในการผลักดันต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของประเทศได้ เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา เป็นต้น


สำหรับการใช้จ่ายเงิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ซึ่งมีประชาชนลงทะเบียนอยู่แล้ว 40 ล้านคน และมีร้านค้าที่คุ้นเคยอยู่แล้วกว่า 1.8 ล้านร้านค้า อย่างที่ทุกคนรู้ดี ระบบเป๋าตังมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว ซึ่งจะลดระยะเวลา ประหยัดงบประมาณ และลดความซ้ำซ้อนในการสร้างและดูแลรักษาระบบ กระทรวงการคลังเอง ก็มีความคุ้นเคยในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ ป้องกันการทุจริตต่างๆ


ส่วนจะเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะใช้ระยะเวลาในการตีความโดยกฤษฏีกา และกระบวนการกฎหมายช่วงปลายปีนี้ นำเข้าสู่สภา ช่วงต้นปีหน้า จัดเตรียมงบประมาณ และเปิดให้ประชาชนได้ใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปีหน้า แต่ก่อนหน้านั้น จะมีโครงการ e-Refund ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป และโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถจะสามารถดำเนินการได้เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป


สำหรับเงื่อนไข ดิจิทัลวอลเล็ต ใช้ซื้ออะไรไม่ได้บ้าง ดังนี้


- ไม่สามารถใช้กับบริการได้

- ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้

- ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม

- ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้

- ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้

- ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ได้

- ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้

- แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่าง ๆ ไม่ได้



https://youtu.be/kRhWz03_AkA

คุณอาจสนใจ

Related News