แบงก์ชาติ เล็งลดประมาณการ GDP ปี 67 ต่ำกว่า 4.4% หลังรัฐอาจลดขนาดกลุ่มเป้าหมายแจกเงินดิจิทัล

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.66 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า ธปท.ประเมินเศรษฐกิจไทย หรือ GDP ปี 2567 ขยายตัว 4.4% ซึ่งได้รวมผลจากมาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตไปแล้วด้วยมุมมองของตัวทวีหรือการหมุนเวียนของเม็ดเงินไม่ได้สูงมากนั้น อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะกำหนดกลุ่มเป้าหมายการแจกเงินอย่างไร หากลดขนาดลง เม็ดเงินที่แจกน้อยลง ไม่ถึง 5.6 แสนล้านบาท ก็ต้องปรับลดประมาณการ GDP ปีหน้าลง


ส่วน GDP ปีนี้ ธปท.คาดว่าจะโต 2.8% ซึ่งดูแล้วคงได้ใกล้เคียง แต่ยอมรับว่าไตรมาส 3 GDP ชะลอตัวกว่าที่คาด จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI ลดลง การบริโภคประชาชนฟื้นตัวแล้ว มีการจ้างงานดี ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้น แต่หากจะมีก็ทำได้ในระยะสั้น


อย่างไรก็ตามแม้ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ แต่อย่าชะล่าใจกับเสถียรภาพของเศรษฐกิจ กับความเสี่ยงจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่อยู่ในระดับสูง 90.7%, สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 61.7%, การตอบสนองของตลาดทุนที่เริ่มสะท้อนถึงความกังวลต่อภาวะเงินทุนไหลออก ติดลบ 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเป็นอันดับ 2 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เพราะเคยไหลออกสูงสุดถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สวนทางกับประเทศอื่นในเอเชียที่เงินทุนไหลเข้า เช่น เกาหลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น, ความผันผวนของค่าเงินบาทสูงถึง 8-9% สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และใกล้เคียงเกาหลี ญี่ปุ่น


ที่สำคัญคือเสียงสะท้อนจาก สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating Agency ซึ่งมองว่าไทยมีความเสี่ยงที่อาจถูกลดการจัดอันดับได้ คือ ภาวะการคลัง ซึ่งมาจากภาวะการขาดดุลทางการคลัง สัดส่วนหนี้สาธารณะ ที่เสี่ยงมากขึ้น โดยควรลดรายจ่ายการคลัง และภาวะการขาดดุล ซึ่ง ธปท.ก็คอยติดตามอย่างใกล้ชิด ในส่วนมาตรการทางการเงิน ธปท.ต้องดำเนินการให้มีช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้บริหารจัดการได้



ซึ่งมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม เหมือนเป็นกระสุน เป็นเครื่องมือเพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับแรงกระแทกจากปัจจัยที่ไม่ได้คาดคิด ซึ่งภาคการคลังก็ต้องมีกระสุนเช่นเดียวกัน รวมถึงปัญหาสงครามอิสราเอลที่ ธปท.ยังคงระมัดระวังและเฝ้าติดตามว่าจะมีผลต่อราคาน้ำมันสูงขึ้นหรือไม่จะเป็นตัวเร่งอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น

รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/JjZ-5rKoC9w