เศรษฐกิจ
ปิดฉาก ‘ไทยสมายล์’ จ่อควบรวม ‘การบินไทย’ สิ้นปี 66 ยันไม่เลิกจ้างพนักงาน 800 คน
โดย petchpawee_k
25 ก.พ. 2566
175 views
เมื่อวานนี้ (24 ก.พ.) นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสำหรับปี 2565 ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด มีผลการดำเนินงานขาดทุน 4,248 ล้านบาท และรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสุทธิที่เป็นรายได้ 1,187 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกลับรายงานผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ กำไรจากการขายสินทรัพย์ การขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอ่อน ส่งผลให้บริษัท และบริษัทย่อยขาดทุนสุทธิ 252 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.12 บาท
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจการบิน โดยยุบรวมกิจการ ไทยสมายล์ ที่การบินไทย ถือหุ้น 100% มารวมกับบริษัทแม่ ประเมินว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566
“การยุบไทยสมายล์ เป็นไปเพื่อความคล่องตัวในการบริหารต้นทุน และธุรกิจ รวมถึงบริหารจัดการเส้นทางการบิน เช่น ในบางเส้นทางไทยสมายล์ยังไม่สามารถทำการบินได้ เนื่องจากติดข้อกฎหมาย รวมถึงยังสามารถเพิ่มเวลาทำการบินได้มากขึ้น จากเดิมไทยสมายล์ใช้เวลาเดินเที่ยวบินรวม 9 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะเพิ่มเป็น 12 ชั่งโมง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 30% ต่อวัน ส่วนพนักงานกว่า 800 คน ของไทยสมายล์ ก็จะโอนมาอยู่ภายใต้การบินไทยทั้งหมด และยังทำงานเช่นเดิม โดยปัจจุบันไทยสมายล์ มีผลขาดทุนสะสมราว 2 หมื่นล้านบาท” นายชาย กล่าว
ปัจจุบันการบินไทย และบริษัทย่อยมีอากาศยานที่ใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 64 ลำ และในตารางการบินฤดูร้อน ปี 2566 ให้บริการเที่ยวบินสู่ 39 เส้นทางบินทั่วโลก พร้อมเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางบินยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย อาทิ โตเกียว โอซากา โซล ไทเป ฮ่องกง สิงคโปร์ กัลกัตตา มุมไบ เป็นต้น
ขณะที่การกลับมาให้บริการเส้นทางบินเพิ่มเติมในเส้นทางประเทศจีนในช่วงต้นปีได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู กวางโจว เพื่อรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบินและจำนวนเที่ยวบิน เพื่อบรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ นำไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป