“หอการค้าไทย” ประเมินขึ้นค่าแรง 1 ม.ค. 68 ดันราคาสินค้าไม่มาก คาด 2.5-5%

หอการค้าไทย ประเมินขึ้นค่าแรง 1 ม.ค. 68 ส่งผลต่อราคาสินค้าไม่มาก คาดขึ้น 2.5-5% ประชาชนเดือดร้อนไม่มาก ดัน GDP เพิ่มขึ้น 0.2%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ประเมินการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่สูงสุด 400 บาท และต่ำสุด 337 บาท ซึ่งมีผล 1 มกราคม 2568 นั้น หากประเมินว่าขึ้นเฉลี่ย 3% หรือ เฉลี่ยค่าจ้างอยู่ที่ 360 บาทต่อวัน หมายถึงรายได้แรงงานเพิ่มขึ้นจากเดิม 10 บาทต่อวัน หรือ ตก 36,000 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะดัน GDP เพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนในด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ พบว่า โดยเฉลี่ยต้นทุนด้านแรงงานคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของต้นทุนทั้งหมดของอุตสาหกรรม ดังนั้นมองว่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น 3% ผู้ผลิตยังสามารถแบกรับต้นทุนการผลิตได้ จากที่เคยทำโพลล์ว่า หากขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ จะส่งผลต่อการปรับขึ้นราคาสินค้า 10-20% ดังนั้นการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ จะผลักไปที่ราคาสินค้าไม่มากนัก โดยคาดว่าเพิ่มขึ้น 2.5 ถึง 5% และจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้นอีก 0.1 ถึง 0.2% แต่ก็จะยังทำให้อัตราเงินเฟ้อปีหน้าอยู่ในกรอบคาดการณ์ที่ 1.2-1.5% ประชาชนไม่เดือดร้อนมาก การขึ้นค่าแรงลักษณะนี้ จะส่งผลให้แรงงานมีรายได้มากขึ้นและมีประโยชน์ในเชิงกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม การขึ้นค่าจ้างเร็วและแรง จะกระตุ้นให้ AI และเทคโนโลยี ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเร็วขึ้น และเสน่ห์ของการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไทยในด้านค่าแรงก็จะขาดหายไป เพราะค่าแรงของไทยสูง ซึ่งตอนนี้ทุกคนมองไปที่เป้าค่าแรง 600 บาทแล้วตามนโยบาย