เศรษฐกิจ
เคาะแล้ว! ขึ้นค่าจ้างสูงสุด 400 บาท-ต่ำสุด 337 บาท มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2568
โดย chutikan_o
23 ธ.ค. 2567
2.6K views
มติเอกฉันท์ บอร์ดไตรภาคี ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 7-35 บาท ทั่วประเทศ สูงสุด 400 บาท ขณะกทม.-ปริมณฑล 372 บาท มีผล 1 ม.ค. 2568
หลังการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง หรือ ไตรภาคี ชุดที่ 22 ครั้งที่ 11 / 2567 นานร่วม 5 ชั่วโมง นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มวันละ 7 ถึง 55 บาท หรือเฉลี่ย 2.9% แบ่งเป็น 17 อัตรา ซึ่งพิจารณาจากค่าครองชีพและโครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญโดยมีอัตราสูงสุดคือวันละ 400 บาทและอัตราต่ำสุดคือวันละ 337 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค. 67) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยเป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลัก ด้านการท่องเที่ยว และการลงทุนต่างชาติอย่าง EEC
2. กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 380 บาท ในอำเภอเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
3. กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 372 บาท ในเขตท้องที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รวม 6 จังหวัด หรือเพิ่มขึ้น 2.5%
4. กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 67 จังหวัดที่เหลือ ให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 2%
การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อให้แรงงานทั่วไปและแรกเข้าทำงาน สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน รวมทั้งเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะทำให้ลูกจ้างได้รับประโยชน์จำนวน 3,760,697 คน
ส่วนที่ไม่สามารถขึ้นได้ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและความสามารถของผู้ประกอบการ และนอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นตรงกันว่าหลังจากนี้การพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำควรมีปีละ 1 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้นด้วย ซึ่งหมายความว่าในปี 2568 อาจจะมีการพิจารณาอีกครั้งหรือไม่ ก็ต้องดูตามสถานการณ์ ทั้งนี้คณะกรรมการไตรภาคีชุดที่ 22 จะหมดวาระในเดือนมีนาคม 2568 หลังจากนั้นจะมีการแต่งตั้งขึ้นใหม่ทั้งหมด และนับว่าคณะกรรมการไตรภาคีชุดที่ 22 เป็นคณะกรรมการชุดที่ประกาศปรับขึ้นค่าจ้างมากที่สุด คือ 3 ครั้ง
ด้านผู้ประกอบการและนายจ้างต่างพอใจกับผลการพิจารณา ซึ่งผู้ประกอบการเองก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการเยียวยานายจ้างควบคู่ด้วยซึ่ง กระทรวงจะนำเสนอถึงที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภาพกว้างในแง่หลักการก่อนที่จะมาใส่รายละเอียดกันในภายหลัง ขณะที่นายวีรสุข แก้วบุญปันกรรมการไตรภาคีฝ่ายลูกจ้างถึงกับยกนิ้วโป้งให้ และบอกว่าพอใจที่สุดในโลก
สำหรับ ปี 2568 คณะกรรมการค่าจ้างฯ ได้กระจายอำนาจการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปยังภูมิภาค โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด รวม 77 คณะ เพื่อนำข้อเสนอแนะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดมาพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 มาตรา 87 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ด้านความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง กลุ่มที่ 2 ด้านความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง กลุ่มที่ 3 ด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม โดยพิจารณาจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ เพื่อให้ลูกจ้างมีค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต และพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อให้นายจ้าง/ลูกจ้าง สามารถประกอบธุรกิจและดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
แท็กที่เกี่ยวข้อง ขึ้นค่าจ้าง