เศรษฐกิจ

'เศรษฐา' เดินหน้าคุยนายกฯกัมพูชา ดึงพลังงานพื้นที่ทับซ้อนมาใช้ เน้นโปร่งใส ตรวจสอบได้

15 ก.พ. 2567

51 views

วานนี้ (14 ก.พ. 67)  นายเศรษฐา​ ทวี​สิน​ นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​การคลัง​ เป็นประธานเปิดงาน Thailand Energy Executive Forum พร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน” ว่า พลังงานถือเป็นเรื่องสำคัญในอนาคต​ ที่ประขุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็ได้มีข้อสั่งการในการช่วยเหลือลดค่าไฟสำหรับเครื่องสูบน้ำการทำนา  เนื่องจากการเกษตรถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน  แต่จำเป็นจะต้องทำเพื่อลดช่องว่างทางสังคม  


เกษตรกรต้องการความช่วยเหลือ และการช่วยเหลือเกษตรกร ก็ต้องช่วยเหลือแบบอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่รอพึ่งการสนับสนุนจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียวในทุกเรื่อง  ซึ่งต้องยอมรับว่าพลังงานเป็นต้นทุน และองค์ประกอบใหญ่อย่างหนึ่งของการทำเกษตร  ยอมรับว่า พลังงานโซล่าเซลล์ ถือว่าเป็นพลังงานที่ถูกที่สุด ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนตามหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ค่าไฟถูกลงและเกษตรกรใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันพลังงานและอุตสาหกรรมก็มีความสำคัญ หลังจากตนเองได้รับตำแหน่ง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ได้เดินทางไปต่างประเทศ  พบว่าสำนักงานส่งเสริมการลงทุนไทยหรือบีโอไอ มีคนรุ่นใหมเข้าใจบริบท เข้าใจนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย เข้าใจสิทธิทางด้านภาษี และความเป็นอยู่ของคนไทยดีที่สุด ซึ่งไทยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  เช่น  สนามบินที่กำลังจะเปิดใหม่อีกเฟส และท่าเรือน้ำลึก ซึ่งต่างชาติตระหนักและมองว่าเป็นจุดบวกของไทย พร้อมสนใจลงทุนด้านพลังงานสะอาด  โดยเฉพาะรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน (sdg index ) ของไทยอยู่อันดับที่ 30 กว่าของโลก อยู่สูงที่สุดของอาเซียน ดังนั้นไทยมีดีกว่าหลายประเทศ หลังจากนี้ตนเองจะเดินทางไปพูดคุยกับประเทศในแถบยุโรป โดยเดือนหน้าจะเดินทางไปเยอรมนี เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา โดยเฉพาะนักลงทุนทั่วโลกถามถึงพลังงานสะอาด โดยเฉพาะสหรัฐและจีน ดังนั้นเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานจะให้ความสำคัญและตระหนักดีในเรื่องนี้ ที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาได้ ซึ่งประเทศไทยมีดีหลายอย่าง


นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ประเทศไทยโชคดี เพราะในอดีตเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมามีเขื่อน เช่น เขื่อนภูมิพล มีส่วนสำคัญช่วยในเรื่องของไฟฟ้า  ซึ่งในอนาคตจะสามารถพัฒนาทำเรื่องโซล่าเซลล์ได้ จึงต้องดูความเหมาะสมและเรื่องการลงทุน ว่าจะสามารถดึงพลังงานมาใช้ได้เท่าใด หากทำได้ถือว่าเป็น soft of energy และเป็นจุดขายของประเทศไทยต่อไป จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดูแล ทั้งนี้ในการลงพื้นที่จ.สระบุรี ทราบว่าเกษตรกรสามารถขายข้าวได้ตันละ​ 11,000-12,000 บาทต่อตัน​ แต่ก็ยังมีต้นทุนทางการผลิต​


นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหารือกับ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ผ่านมา ว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่เรามีความสัมพันธ์กันดี มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง ซึ่งตนกับนายรัฐมนตรีกัมพูชามีความสัมพันธ์อันดี ได้หารือในประเด็นชายแดน การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนระหว่าง 2 ประเทศการดูแลแรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันเศรษฐกิจไทยเนื่องจากแรงงานไทยเองไม่พอเพียงพอ​ โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาขอให้ไทยดูแลค่าแรงให้เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้ตนไปทุกเวที ก็ขอร้องวิงวอนทุกท่านว่า ขึ้นไม่ได้ หากฐานรากของสังคมไม่ถูกยกขึ้นมา  ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้ววันนี้อยู่ที่ 340 บาทขึ้นมา 12% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลายคนส่งลูกไปเรียนเมืองนอก 10 ปีที่แล้วเงินเดือน 30,000 บาทวันนี้เงินเดือน 34,000 ท่านรู้สึกอย่างไร


นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า​ การเจรจา​อีกเรื่องที่สำคัญ​ คือ OCA หรือพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งมูลค่ามหาศาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเลขไหนที่คนพูดถึง อาจพูดถึง 20 ล้านล้านบาทก็ได้ แต่เราก็มีปัญหาเรื่องของชายแดน เรื่องเขตแดนอยู่เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและหลายภาคส่วนให้ความสนใจ ทั้งนี้ขอแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่ทับซ้อนกับเรื่องของขุมทรัพย์ที่อยู่ใต้ทะเล  เรื่องนี้จะต้องมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน  ซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องนี้ และจะพยายามนำสินทรัพย์เช่นนี้ออกไปใช้ได้เร็วที่สุดในการเปลี่ยนผ่าน Brown Energy ไปสู่ Green Energy ขอให้สบายใจว่าเราจะเดินหน้ากันต่อไป  โดยพยายามแยกแยะระหว่างปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและปัญหาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ “แต่เรื่องนี้ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เนื่องจากจะส่งผลต่อเรื่องราคาพลังงาน”


นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า เรื่องค่าพลังงาน​ มีการสอบถามกันมาว่ามีกลไกอะไรบ้าง สามารถทำอะไรได้บ้างทั้งค่า ppa การขอใช้กริดของโรงงานไฟฟ้าในปัจจุบัน (grid electrical) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันสำหรับการจ่าย ไฟฟ้าจากผู้ผลิตต่างๆไปยังผู้บริโภค กลไกตลาดจะไม่สามารถทำได้ พลังงานที่ผลิตขึ้นมาจะต้องมีผู้จ่ายอยู่ดีซึ่งอาจจะเป็นเงินของพวกเราทุกคนที่โอนกลับไปจ่ายให้กับผู้ผลิต ทำให้ต้องเก็บเงินกลับคืนอยู่ดี แต่ความเชื่อมั่น และความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้


“การทุบโดยไม่ต้องสนใจกลไกการตลาด จะทำให้เกิดรัฐประหารทางเศรษฐกิจ เราอาจจะได้ค่าไฟถูกอยู่ไม่กี่วัน ก่อนที่จะควักเอาเงินของประชาชนมาจ่าย การลงทุนการส่งออกการจ้างงานอยู่ในใจของคนทั้งโลกไปนานนับปี  ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่ว่าเรามีกลไกการสนับสนุนเรื่องภาษีที่ดีแล้ว มีมาตรการต่างๆที่ทำให้คนมาอยู่ในประเทศไทยอย่างมีความสุข แต่เรื่องราคาพลังงานก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ หากมองในระยะยาวเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง​ มีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่น​คง​ พร้อมที่จะดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเพื่อมาตั้งฐานการผลิต​”


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่เดินทางไปหลายประเทศก็มีคนสนใจ เพราะเขามองภาพรวมในเรื่องการขนถ่ายสินค้าของโลก พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีแผนเรื่องพลังงานสะอาดที่ชัดเจน แต่จะทำเพียงเรื่องเดียวไม่ได้ ฉะนั้นทุกเรื่องต้องทำควบคู่กันไป และวางหลักฐานกันไป ซึ่งหากไม่จบในรัฐบาลนี้ก็ต้องเป็นรัฐบาลต่อไปที่ต้องทำ  เพราะเป็นความสำคัญ พร้อมย้ำว่า เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ประเทศไทยไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เลย  มันเป็นไปได้อย่างไร ฉะนั้นวันนี้ต้องมีการประชุมโครงสร้างพื้นฐานต่อไปควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญเรื่องพลังงานสะอาด  ชื่นชมเพราะประเทศไทยเป็นที่ชื่นชมของนานาชาติที่ทำได้ดีมาก  ภารกิจพวกเราทุกคนในฐานะนักอุตสาหกรรม นักธุรกิจระดับท็อปของประเทศ ไม่ใช่หยุดแค่พลังงานสะอาดแต่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ค่าแรงขั้นต่ำ ทุกอย่างต้องทำควบคู่กันไป


นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า ถูกผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่แปลกใจที่สุดการเป็นนายกรัฐมนตรีคืออะไร ตนจึงตอบกลับไปว่า The amount of power I have, but most of the time the lack of it. มันมีกลไก การบริหารจัดการแผ่นดินเยอะ ซึ่งเป็นกลไกที่เราต้องการความสมัครสมานสามัคคีต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย และเป็นกลไกที่เราต้องสร้างบรรยากาศที่ดีในการสำหรับการพูดคุยกันเรื่องที่เห็นต่าง เชื่อว่า นักธุรกิจที่มาร่วมงานในวันนี้จะทราบถึงความหวังดีของผมและของรัฐบาลที่จะผลักดันกลไกอุตสาหกรรมไปข้างหน้าควบคู่เรื่องของพลังงาน


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลังงานเป็น key factor ในการ drive ประเทศไปข้างหน้า ทุกภาคส่วนตั้งแต่ บริษัทต่างชาติที่ไปชักชวนให้มาลงทุน ตลอดจนภาคส่วนเกษตรกร ต้องการพลังงานสะอาดที่ราคาถูกทั้งสิ้น ซึ่งในปี 2040 เราได้คาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) คือ เป็นพลังงานสะอาด มากกว่า 50% ของไฟฟ้าทั้งหมด เราจึงต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ


1.แหล่งพลังงาน รัฐบาลต้องเร่งเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงานในอ่าวเพิ่ม


2.ความพร้อม ซึ่งเรามีศักยภาพที่ได้เปรียบกว่าเพราะมีพื้นที่สำหรับการผลิต Clean and Green Energy แต่ต้องมีการอัพเกรด Energy Storage เพื่อเสริมความพร้อมระยะยาวด้วย


3.ราคาพลังงาน ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ จะช่วยประชาชนและภาคเอกชนไปพร้อมกันผ่านกลไกตลาดที่ถูกต้อง จึงจะเป็นหนทางที่ทำให้เรามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่มีพลังงานเป็นส่วนขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน

---------------
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ สถาบันวิทยาการพลังงาน ร่วมมือกับสมาคมวิทยาการพลังงาน (สวพน.) จัดสัมมนา “THAILAND ENERGY EXECUTIVE FORUM”


นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวระหว่างเสวนาเรื่อง “ทิศทางพลังงานไทยปี 2567” ว่า กรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (overlapping claims areas-OCA) ในมุมของ ปตท.อาจจะมีโมเดลให้ศึกษาได้ อย่างพื้นที่ไทย-มาเลเซีย ทั้งนี้ เรื่องการแบ่งดินแดนไม่น่าจะสรุปได้ เพราะเข้าใจว่าการแบ่งพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียวต้องมีปัญหา หากมาหารือกันเรื่องของวัตถุดิบที่อยู่ใต้ดิน น่าจะหารือได้ไม่ยาก เพราะประเทศไทยมีท่อก๊าซและโครงสร้างพื้นฐานใกล้ๆ พื้นที่ทับซ้อนอยู่แล้ว การจะขุดเจาะและนำขึ้นมาใช้ก็ง่าย ส่งไปกัมพูชาสะดวก



“โมเดลที่จะนำวัตถุดิบขึ้นมาใช้ และพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มนั้น ให้กัมพูชามาลงทุนกับเราได้ เพื่อแบ่งฝั่ง 50% โดยโมเดลทางด้านธุรกิจไม่ยาก แต่ทางด้านการเมืองน่าเห็นใจ พูดตรงๆ เลยว่ากัมพูชาไม่น่ามีปัญหา ที่มีปัญหาคือไทย มีการพูดเรื่องนี้ตลอด เดี๋ยวก็หาว่าขายชาติบ้าง เราน่าจะต้องลดๆ ในตรงนี้หน่อยเพื่อให้เกิดข้อสรุปได้ และเราจะได้ไม่มีปัญหา” นายอรรถพลกล่าว


นายอรรถพลกล่าวว่า ปตท.มีภารกิจคือการสร้างความมั่นคงพลังงานของประเทศ ไม่ว่าหน้าตาของพลังงานประเทศจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ปตท.ต้องตามไปทำ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภูมิรัฐศาสตร์ สภาวะและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และสภาพสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเพิ่มขึ้นสูงกว่า 80 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 9 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่มีสถานการณ์ขึ้นๆ ลงๆ


อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความคลี่คลายจากสถานการณ์ต่างๆ ส่งผลให้ราคาพลังงานในปี 2567 จะลดลง โดยราคาน้ำมันจะอยู่ในกรอบ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 103 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 อยู่ที่ 101-102 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงมาอยู่ในกรอบ 7-12 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะเกิดการปะทุความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศขึ้นมาอีก รวมถึงสภาพเศรษฐกิจของโลก สภาพภูมิอากาศในแหล่งผลิต และการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน


“ต้องยอมรับว่าพลังงานในทุกรูปแบบของประเทศไทยที่เราใช้อยู่ต้องมีการนำเข้า แต่ในภาคของความมั่นคง โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานยังมีความแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาการบริหารจัดการของ ปตท. และนโยบายของภาครัฐสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตมาได้ตลอด ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในประเทศไม่ขาดแคลน” นายอรรถพลกล่าว


นายอรรถพลกล่าวว่า ที่ผ่านมา ปตท.ได้เข้าร่วมประชุมในเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม หรือการประชุมดาวอส 2024 ซึ่งเป็นการประชุมผู้นำทางเศรษฐกิจ ในที่ประชุมมีการตั้งโหวตความคิดเห็นประเด็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดความกังวลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ผลที่ออกมาในระยะสั้น 2 ปี กลุ่มผู้นำส่วนใหญ่กังวลเรื่องของเทคโนโลยี และการบิดเบือนข้อมูล โดยตระหนักไปถึงการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งาน วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เรื่องรองลงมาคือสิ่งแวดล้อม และภูมิรัฐศาสตร์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผลโหวตระยะยาวช่วง 10 ปีข้างหน้าสิ่งที่กังวลคือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เพราะเรื่องดังกล่าวจะกระทบมาพลังงาน ประเทศไทยเองภาพรวมการใช้พลังงานอ้างอิงกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว โดยเรื่องแรกที่จะปรับเปลี่ยนคือการลดใช้ถ่านหินลง และในปี 2030 การใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง ขณะที่ก๊าซธรรมชาติจะเป็นเชื้อเพลิงสุดท้ายที่เหลืออยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานทดแทน


นายอรรถพลกล่าวด้วยว่า เป้าหมายของพลังงานในประเทศจะต้องยึด 3 หลักสำคัญคือ 1.พลังงานต้องมีความมั่นคงเข้าถึงได้ 2.ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาเทคโนโลยีในการดักจับคาร์บอน และ 3.ต้องมีราคาเหมาะสม ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยในอนาคตเชื้อเพลิงไฮโดนเจนเป็นเรื่องน่าสนใจ หากมีหน่วยงานเข้ามาอุดหนุนเรื่องนี้ให้เกิดเป็นโครงการต้นแบบประเทศไทยจะสามารถก้าวได้ทันกระแส ซึ่ง ปตท.มองว่าไฮโดนเจนกับด้านการคมนาคมหรือยานยนต์นั้นอาจจะพัฒนาได้ยาก เนื่องจากตอนนี้เสียงยังถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายจากกลุ่มประเทศญี่ปุ่นที่เห็นด้วยและเร่งพัฒนาใช้ไฮโดนเจน กับกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่ยังมองเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ก่อน เพราะโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาไม่เหมือนกัน


ขณะที่ไฮโดนเจนกับภาคอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเทคนิคทำได้ทั้งหมดแล้วสามารถแปลงสภาพ ขนส่ง และนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้แล้ว แต่เรื่องสำคัญคือเรื่องต้นทุน ถ้ามีการสนับสนุนให้ต้นทุนราคาถูกได้ จะสามารถนำไฮโดนเจนเข้ามาแทนที่แบตเตอรี่ได้ ซึ่งเป็นอนาคตที่น่าสนใจ โดยในกลุ่ม ปตท.เองมีบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เข้าไปร่วมลงทุนกับประเทศโอมาน เพื่อพัฒนากรีนไฮโดนเจน

------------

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/hGnssuWfcww

คุณอาจสนใจ

Related News