อาชญากรรม

รวบแม่แท้ๆ-พ่อเลี้ยง ทำร้าย 'น้องเจ้าขา' วัย 3 ขวบ เจ็บสาหัส อ้างลูกเอากระป๋องแป้งขูดตามร่างกายตัวเอง

โดย weerawit_c

3 ก.ย. 2565

119 views

จากกรณีพ่อและย่าของเด็กร้องทนายรณรงค์ ช่วยตามคดี ‘น้องเจ้าขา’’ ลูกสาว วัย 3 ขวบ อยู่กับอดีตภรรยาและพ่อเลี้ยง ถูกทำร้ายอาการสาหัส ต้องผ่าตัดสมอง เจาะคอ อาจพิการตลอดชีวิต และยังคาใจ ‘น้องพีพี’ ลูกชาย วัย 2 ขวบเสียชีวิตปริศนา หลังหย่ากับอดีตภรรยาได้เพียง 3 วัน ผลชันสูตรศพ พบมีเลือดออกในช่องท้อง



วานนี้( 2 ก.ย.) ที่ สภ.บางบัวทอง ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมได้พา นายณัฐพล ทองดวง อายุ 29 ปี พ่อของเด็ก มาติดตามความคืบหน้าทางคดี หลังแจ้งความ 1 เดือน คดีไม่คืบยังไม่รู้ตัวคนทำ



โดยทนายรณรงค์ ได้ถือนาฬิกา ส่วนนายณัฐพลถือค้อน ขณะที่คุณย่า ถือรูปภาพถ่ายของน้องเจ้าขา ด.ญ.วัย  3 ขวบ และน้องพีพี ด.ช.วัย 2 ขวบ จากนั้นทนายรณรงค์ พร้อมด้วยพ่อและย่า ของหนูน้อยทั้งสองคน ได้แสดงเชิงสัญลักษณ์ด้วยการวางนาฬิกาลง ก่อนที่จะใช้ค้อนทุบไปที่นาฬิกา เพื่อสื่อถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีนี้ล่าช้าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเป็นเดือน



นางอนันต์ ย่าของเด็ก เผยว่าหลานชายเสียชีวิต เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 65 หลังจากที่หย่ากับลูกชายแค่ 3 วัน พอหลานเสียชีวิตแม่ของเด็กก็ไม่ได้บอก จนกระทั่งวันที่ 30 พ.ค. 65 ตนโทรไปหาแม่เด็ก เพื่อขอโทรวีดีโอคอลคุยกับหลาน แต่เขาไม่รับสายและพิมพ์ว่า "ไม่ต้องเสือก จำไว้นะ โทรไปก็ไม่ให้คุยกับมึง พวกกูไม่ฟ้องก็บุญพวกมึงแล้ว ไม่มีเงินส่งให้ลูกแต่มีเงินเที่ยว ก็สมควรให้ลูกมันตาย" ตอนนั้นตนไม่ทราบว่าหลานเสียชีวิตไปแล้ว สงสัยว่าทำไมหลานตาย ผลชันสูตรเลือดออกในช่องท้อง แม่เด็กถึงไม่แจ้งความ อยากให้ตำรวจพิสูจน์ให้ถึงที่สุด และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด กับคนที่ทำกับหลานทั้ง 2 คน  



นางอนันต์ ย่าของเด็ก เผยว่า หลานสาวเข้ารักษาตัว เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา วันนี้หลานอาการดีขึ้น สามารถพยักหน้าตอบรับได้ เมื่อคืนไม่ต้องใส่เครื่องหายใจ สามารถหายใจเองได้ แต่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิดทุกวัน ซึ่งเมื่อเช้าก่อนจะมาโรงพัก ตนได้บอกกับหลานว่า "ย่าจะสู้เพื่อหนู หนูต้องสู้ด้วยนะ"



จากนั้นพ่อและย่าของเด็ก มัสยิดอิกอม่าตุ้ลอิสลาม ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ที่ฝังร่างหลานชาย โดยคุณย่าร้องไห้และใช้มือดึงหญ้าและลูบหลุมฝังศพของหลานชาย พร้อมพูดว่า “หนูต้องช่วยพี่เจ้าขาเค้าด้วยนะลูก ให้พี่เจ้าขาอยู่กับย่า อยู่กับพ่อ อยู่กับปู่ ย่าเสียหนูไปแล้ว อย่าให้ย่าต้องเสียพี่เจ้าขาอีกคนนะลูก พีพีต้องช่วยพี่เขานะ”



พร้อมกับเล่าทั้งน้ำตาว่า นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ตนและลูกชายได้มาที่นี่ หลังจากเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2565 เป็นวันแรกที่ตนรู้ว่าร่างของ “น้องพีพี” ถูกฝังไว้ตรงนี้ หลังจากนั้นห่างออกไปแค่ 4 วัน จากนั้นวันที่ 8 สิงหาคม 2565 ตนถึงรู้จากแพทย์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า “น้องเจ้าขา” อยู่ห้องไอซียู อยู่ในการรักษาของแพทย์



โดยตอนแรกหมอบอกว่า “น้องเจ้าขา” ปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดอาการของน้องผ่านทางโทรศัพท์ ทำให้วันที่ 9 สิงหาคม 2565 ตนจึงเดินทางไปโรงพยาบาล แพทย์ถึงได้เล่าข้อมูลอาการของ “น้องเจ้าขา” ให้ฟังทั้งหมด ก็ถึงกับช็อก แถมแพทย์ยังขออนุญาตเจาะคอหลาน เพราะเสมหะหลานเยอะมาก



ดังนั้นสิ่งเดียวที่ย่ากลัวที่สุด ณ ตอนนี้คือกลัวว่าจะไม่ได้หลานสาวคนเดิมกลับมา กลัวว่าหลานจะติดเตียงตลอดชีวิตเหมือนที่แพทย์บอก เพราะภายใน 6 เดือนหากการทำกายภาพบำบัดหลานไม่สำเร็จ อาการหลานไม่ดีขึ้น หลานก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอด ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะ 4 ขวบ



อย่างไรก็ตามตนก็ยังมีหวัง ต่อให้หลานกลับมาแบบไม่เต็มร้อยก็ไม่เป็นไร ตนและลูกชายพร้อมที่จะเลี้ยงหลานจนกว่าชีวิตตนจะสิ้นอายุขัย เพราะตอนนี้ตนอายุ 64 ปี บวกกับช่วงเช้าของวันนี้ ก่อนที่ตนจะออกมาโรงพักก็ได้คุยกับหลานว่าจะออกไปสู้เพื่อหลานและสู้เพื่อ “น้องพีพี” ด้วย หลานสาวก็เอื้อมมาจับมือ จับผมของตน เหมือนว่าหลานสาวรับรู้ได้



จนถึงตอนนี้ตนก็ยังไม่ปรักปรำว่าใครเป็นคนทำให้หลานทั้ง 2 คนตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่อยากจะถามกับคนที่ทำว่า“ทำไมถึงทำได้ เด็กกำลังน่ารัก เลี้ยงง่าย หลับง่าย” และในขณะเดียวกันตนก็อยากถามกับแม่เด็กว่า “อยากรู้ว่าถ้ามีจิตใจของความเป็นแม่ ใครทำลูก ทำไมไม่ปกป้องลูก หรือถ้าไม่อยู่ในเหตุการณ์ มาเห็นแผลน้องเต็มตัว ทำไมไม่แจ้งความ” และย่าเองก็ยังเชื่อว่าหลานสาวถูกทำร้ายอย่างรุนแรง เพราะหลานผิวขาว ทำให้เห็นรอยช้ำตามร่างกายชัดเจน อย่างวันนี้ตนก็ยังเห็นที่บริเวณสีข้างฝั่งซ้าย รวมถึงรอยแผลเป็นที่บริเวณศรีษะก็ยังเหลืออยู่



สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของ “น้องเจ้าขา” ตามที่ตนฟังจากแพทย์ผู้รักษา รู้เลยว่ามันไม่ปกติเช่น เลือดคั่งในสมอง ชักเกร็ง ไม่รู้สึกตัว 2 ชั่วโมง เลือดออกตา บาดแผลและรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย  ยังดีที่ทางเจ้าหน้าที่ พม. ประสานมายังครอบครัวตน ถึงได้รู้ว่า “น้องเจ้าขา” นอนอาการสาหัสอยู่โรงพยาบาล ตนถึงได้เดินทางไปดูอาการทัน ไม่อย่างนั้นหลานก็คงเสียชีวิตไม่ต่างอะไรกับ “น้องพีพี”



ส่วนกรณีการเสียชีวิตของ “น้องพีพี” ตนก็ยังไม่ปล่อยผ่าน เพราะในใบมรณะบัตรของน้องก็ระบุชัดเจนว่าสาเหตุการเสียชีวิตคือ “เลือดออกในช่องท้องจากภยันตรายต่อช่องท้อง” ซึ่งมันก็ชัดเจนว่า “น้องพีพี” เสียชีวิตผิดธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้เลยที่หลานจะหกล้มตามคำกล่าวอ้างของผู้เป็นแม่บอกกับแพทย์



คุณย่า ระบุว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงไม่มีการสืบสวนต่อ กลับยึดคำพูดของแม่เด็กที่บอกว่า “ไม่ติดใจสงสัยในสาเหตุการเสียชีวิต” แล้วก็จบ ทั้งๆที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกินภาษีของประชาชนก็ควรจะเอะใจบ้าง ว่าเลือดมันออกในช่องท้องได้ยังไง แล้วการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบนี้ จะยังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อยู่อีกหรือไม่ ย่าเองคิดถึงหลานทั้ง 2 คนมาก เก็บคลิปของหลานไว้ในโทรศัพท์ตลอด ถ่ายแทบทุกวันจนถึงวันนี้แม่หลานสาวจะนอนอาการสาหัสอยู่ ตนก็ถ่ายเก็บไว้ พร้อมกับอยากจะย้ำกับดวงวิญญาณของน้องพีพีที่ถูกฝังอยู่ตรงหน้าอีกครั้งว่า



ทางด้าน นายณัฐพล พ่อของเด็ก เปิดเผยว่า หลังหย่ารู้สึกผิดที่ตัดสินใจให้ลูกไปอยู่กับอดีตภรรยา พอมาเห็นสภาพลูกรู้สึกเสียใจ คิดถึงลูกทุกวัน ก่อนหน้าที่ตนจะหย่าร้างกับอดีตภรรยา ตนยอมรับว่า ระหองระแหงกันมาโดยตลอด และจับได้ว่าอดีตภรรยานอกใจไปหาสามีใหม่ มีพฤติกรรมรักสามีใหม่เป็นอย่างมาก จนบางครั้งละเลยการดูแลเอาใจใส่ลูก รวมทั้งยังมีพฤติกรรมข่มขู่จะทำร้ายลูก หากตนไม่ส่งเงินไปให้



“ทางแม่แท้ ๆ กับพ่อเลี้ยงบอกว่าไม่รู้ว่าเด็กโดนอะไร ในบ้านนั้นมี 3 คน มีคนป่วยค่อนข้างหนัก มีแค่พ่อเลี้ยงกับแม่ที่ดูแล ทั้งสองคนยืนยันว่าไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น อยากให้ทางตำรวจและทนาย ช่วยตามคดีให้กระจ่างว่าน้องเจ้าขาลูกสาววัย 3 ขวบ ถูกใครทำร้าย”



จากนั้น 12.30 น. ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ได้ควบคุมตัวแม่แท้ๆ ของเด็ก อายุ 28 ปี และพ่อเลี้ยง อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ “ ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส” มาสอบปากคำ หลังตำรวจจับกุมได้เมื่อคืนวันที่ 1 ก.ย. ที่บ้านพักย่านรามคำแหง



โดยระหว่างที่นำตัวทั้งสองออกจากห้องสืบสวน มาสอบปากคำที่ชั้น 2 ของโรงพัก สีหน้านิ่งเฉย นักข่าวพยายามสอบถามแม่และพ่อเลี้ยงว่าได้ทำร้ายลูกหรือไม่ แต่ทั้งคู่เดินก้มหน้าไม่พูดหรือให้ข้อมูล เมื่อถามพ่อเลี้ยงย้ำว่าได้ทำร้ายลูกจริงหรือไม่ พ่อเลี้ยงส่ายหน้า และเอาเสื้อเชิ้ตปิดบังหน้า



หลังจากตำรวจคุมตัวแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยงเข้าห้องขัง คุณย่าของเด็ก ไปยืนหน้าห้องขัง ตะโกนถามแม่เด็กว่า "น้องเสียชีวิตทำไมไม่บอกแม่ ทำไมถึงปิดบัง วันที่ 4 ส.ค. 65 ยังบอกอีกว่า น้องสบายดี ไม่ต้องห่วง ความจริงแล้ว วันที่ 1 ส.ค. 65 น้องผ่าตัดสมองอยู่ห้องไอซียู ทำไมถึงพูดแบบนั้น แกมั่นใจว่าเป็นแม่คนหรอ"  



จากนั้น คุณย่า เปิดเผยกับนักข่าวว่า “ทำไมต้องปิดบังหลาน 2 ขวบเสียชีวิต ทำไมต้องปิดบัง เจ็บป่วยหรือเป็นอะไรก็บอกได้ นี่ต้องการสิ่งที่ต้องการสอบถาม รอฟังคำตอบจากแม่เด็กมาตลอด แต่ก็ไม่ยอมพูด ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายให้ฟังเลยหรอ ยืนยัน ไม่อโหสิกรรมให้ทุกชาติไป ทำบุญชาติไหน กรวดน้ำคว่ำขันก็จะไม่อโหสิกรรมให้ หลายคนหนึ่งตาย ส่วนอีกคนพิการตลอดชีวิต ถ้าเป็นคุณจะทำใจได้หรือไม่”



ทั้งนี้หลังจากตำรวจจับกุมแม่และพ่อเลี้ยงได้ รู้สึกพอในในระดับหนึ่ง แต่จะพอใจมากกว่านี้ว่าใครเป็นคนทำร้ายน้องและทำรุนแรงขนาดนั้น จิตใจทำด้วยอะไร ส่วนที่ทั้งคู่ปฎิเสธว่าไม่ได้ทำ แต่ทำไมสภาพหลานถึงเป็นแบบนั้น ทั้งที่หลานไม่ได้ออกมาจากนอกห้อง อยู่แค่ในห้องกับแม่และพ่อเลี้ยง



16.00 น. ตำรวจได้คุมตัวแม่ของเด็กออกจากห้องขัง ไปสอบปากคำ หลังสอบเสร็จได้คุมตัวลงมาจากชั้น 3 เข้าห้องขังโดยนักข่าวได้สอบถาม แต่แม่ของเด็กพูดสั้น ๆ ว่า “ไม่ได้ทำ”



วานนี้ (2 ก.ย.) เวลา 16.00 น.  พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรวงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เบื้องต้นยังให้การปฎิเสธ แม่แท้ๆ อ้างว่า เจอลูกสาวนอนชักเกร็งมือกำ อยู่บริเวณทางเดินห้องพัก จึงพาลูกส่งโรงพยาบาล ส่วนร่องรอยฟกช้ำ ลูกสาวเอากระป๋องแป้งมาขูดตามร่างกายตัวเอง ส่วนพยานคนอื่นที่รู้เห็นหรือไม่นั้น อยู่ในสำนวนคดี



ส่วนกรณีการเสียชีวิตของน้องพีพี 2 ขวบ แม่อ้างว่า วันเกิดเหตุกลับมาจากที่ทำงาน เห็นลูกชายนอนท้องบวมท้องแข็งจึงพาส่งโรงพยาบาลบางบัวทอง หลังจากเด็กเสียชีวิต ทางตำรวจได้ประสานส่งตัวเด็กไปชันสูตรที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเมื่อได้รับการตรวจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว


https://youtu.be/WDLY2FfxV_I

คุณอาจสนใจ

Related News