สอท.เตือนภัย สาวพิการสมัครงาน โดนหลอกเปิดบัญชีม้า

สาวพิการร้องตำรวจ สอท. โดนหลอกนำข้อมูลการสมัครงานไปเปิดบัญชีม้า รู้ตัวอีกทีมีหมายเรียกจากตำรวจมาถึงบ้าน ตำรวจไซเบอร์แกะรอยขบวนการหลอกทำบัญชีม้า จับได้ยกแก๊ง

ต้นเรื่องของคดีนี้มาจากมีผู้เสียหายมาแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ว่า โดนหลอกโกงเงินออนไลน์ ตำรวจจึงแกะรอยจากบัญชีม้า พบว่าเป็นผู้พิการทางการพูดและได้ยินซึ่งผิดปกติจากบัญชีม้าคนอื่นๆ จึงเชิญตัวมาสอบสวนถึงรู้ว่า สาวพิการคนนี้ก็โดนหลอกเช่นกัน

พฤติการณ์ของผู้ต้องหา คือ แฝงตัวไปในกลุ่มหางานในเฟซบุ๊ก โดยใช้บัญชีเฟซบุ๊กอวตาร ทักแชทเพื่อสนทนาส่วนตัวกับผู้เสียหายที่เข้ามาหางานในกลุ่มดังกล่าว แล้วอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากฝ่ายบุคคลของบริษัทต่างๆ ขอนัดสัมภาษณ์งานกับผู้เสียหาย โดยบอกให้ผู้เสียหายเตรียมเอกสารสําหรับสมัครงาน ได้แก่ สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน สําเนาทะเบียนบ้าน  ใบรับรองคุณวุฒิการศึกษา สําเนาหนังสือรับรองคนพิการ และรูปถ่ายหน้าตรงของผู้เสียหาย

จากนั้น ผู้ต้องหาได้นัดพบกับผู้เสียหาย บริเวณศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านนวนคร จังหวัดปทุมธานี เมื่อถึงเวลาตรวจเอกสาร ผู้ต้องหาก็อ้างว่า ผู้เสียหายถ่ายสําเนาบัตรประจําตัวประชาชนมาไม่ถูกต้อง จะขออาสานําบัตรไปถ่ายสําเนาให้

ต่อมาจะใช้อุบายว่า รูปถ่ายของผู้เสียหายที่นํามาใช้ไม่ได้ จึงขอใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองถ่ายให้แทนเพื่อส่งให้กับบริษัทโดยตรง หรืออาจจะอ้างว่าถ่ายรูปเพื่อใช้ทําข้อมูลการสแกนใบหน้าสําหรับเข้า-ออกบริษัท แต่ที่จริงแล้ว คือการหลอกให้ สแกนใบหน้าเพื่อเปิดบัญชีธนาคาร โดยใช้ข้อมูลจากบัตรประชาชนตัวจริงที่อ้างว่าขอไปถ่ายสําเนาก่อนหน้านี้

และเมื่อผู้ต้องหาได้ข้อมูลพร้อมรูปถ่ายครบแล้ว จะออกอุบายว่าขอไปทําธุระ โดยให้ผู้เสียหายรอ และสุดท้ายก็หลบหนีไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะพบว่า ประวัติการสนทนากับผู้ต้องหาผ่านแชทในมือถือได้ถูกยกเลิกข้อความ และถูกบล็อกบัญชีเฟซบุ๊ก ทําให้ไม่สามารถติดต่อได้อีก

ตำรวจจึงขยายผลไปจับ น.ส.บุสราภรณ์ อายุ 28 ปี ชาวอุดรธานี และนายประมวล อายุ 36 ปี ชาวบึงกาฬ ผู้เป็นสามี ซึ่งทําหน้าที่คอยขับรถพาภรรยาไปหลอกลวงเหยื่อตามสถานที่ต่างๆ ทุกครั้ง ตรวจค้นบ้านพักในพื้นที่ ตำบลสามเรือน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบบัตรเอทีเอ็มและสมุดบัญชีธนาคารจํานวน 6 เล่ม โดยมีทั้งบัญชีธนาคารของผู้เสียหายที่เป็นผู้พิการ และเหยื่อรายอื่นที่ถูกหลอกลวงให้เปิดบัญชี และยังตรวจพบเอกสารประจําตัวของบุคคลอื่นอีกกว่าจํานวน 20 แผ่น

จึงแจ้งข้อหา "ร่วมกันเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน นําเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นการกระทํา ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นําบัตรของผู้อื่นไปใช้แสดงว่าตนเป็นเจ้าของบัตร

รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/UOpWYT8pMzY