อาชญากรรม
อดีตพนักงาน กฟภ. ร้อง ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกสูญกว่า 4.2 ล้าน แจ้งความ ปอท.-สอท. กลับถูกปฏิเสธ
23 ก.ค. 2568
651 views
เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นางสมสกุล (นามสมมุติ) อายุ 65 ปี อดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจ (กฟภ.) เข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน ว่า ตนเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมา เพื่อมายังศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ หลังจากถูกกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายหน่วยงาน ทั้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) หลอกให้โอนเงินกว่า 30 ครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 2.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเก็บหลังเกษียณและเงินที่กู้ยืมมาเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายให้ลูกชาย
นางสมสกุล เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 โดยเงินที่ถูกหลอกไปนั้นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากการทำงาน กฟภ.มา 35 ปี และบางส่วนยังต้องหยิบยืมมาเพื่อลูกชาย ทำให้ตอนนี้สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมลูก และยังถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ที่บ้านทุกวัน เมื่อคืนที่ผ่านมาจึงต้องอาศัยนอนพักที่เก้าอี้ภายในศูนย์รับแจ้งความฯ แห่งนี้ เนื่องจากไม่กล้ากลับบ้านไปเผชิญหน้ากับลูกชายและบรรดาเจ้าหนี้
นางสมสกุล เล่าต่อว่า หลังจากเกษียณจาก กฟภ. เมื่อปี 2566 และได้รับเงินประมาณ 3 ล้านกว่าบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ลูกชายมาบอกว่าติดหนี้พนันออนไลน์ ด้วยความหวังจะช่วยลูก ในวันที่ 22 มกราคม 2567 จึงเข้าไปขอคำแนะนำจากเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่งที่อ้างว่าเป็นของ "สภาทนายความ" ผ่านทางแมสเซนเจอร์ แอดมินเพจดังกล่าวแนะนำให้ติดต่อ "ตำรวจไซเบอร์" รายหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้มีการพูดคุยกันทางแมสเซนเจอร์และไลน์
ตำรวจไซเบอร์รายนั้นอ้างว่าสามารถนำเงินที่ลูกชายเสียไปคืนมาได้ โดยส่งลิงก์พร้อมชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านมาให้ อ้างว่าตรวจสอบพบเงินที่มิจฉาชีพโอนไปที่บริษัทดังกล่าว แต่ยังไม่ได้ฟอกเงิน จึงให้ตนเข้าไปทำธุรกรรมเพื่อดึงเงินประมาณ 300,000 บาทที่เหลืออยู่ในระบบกลับคืนมา แต่เมื่อทำตามคำแนะนำ กลับกลายเป็นถูกหลอกให้โอนเงินไปอีก 36 ครั้ง รวมเป็นเงินประมาณ 2.2 ล้านบาท โดยยอดสุดท้าย 55,000 บาท มิจฉาชีพอ้างว่าจะปิดยอดและได้เงินทั้งหมดคืน และแจ้งว่าเงินทั้งหมดอยู่ที่ ป.ป.ง. แล้ว พร้อมส่งลิงก์ใหม่มาให้
ด้วยความสงสัยว่าน่าจะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ตนจึงโทรสอบถาม 1441 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) ศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อให้ปากคำเข้าสู่ระบบฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 หลังจากนั้นตนก็รอคอยมานานกว่า 6 เดือน โดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงตัดสินใจเดินทางไปที่สำนักงาน ป.ป.ง. เมื่อมกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. แจ้งว่าชื่อ-นามสกุลตามลิงก์ที่คนร้ายส่งให้นั้นเป็นของมิจฉาชีพ ตนจึงเดินทางไปที่ บช.สอท. เมืองทองธานี ซึ่งแนะนำให้ไปพบตำรวจไซเบอร์ (สอท.3) ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท.3 กลับแจ้งว่าคดีของตนอยู่ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ไม่ได้ส่งมาที่ สอท.
ขณะเดียวกัน ในเดือนมกราคม 2568 ตนได้เข้าไปปรึกษาเพจเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการทำคดีหลอกลวงออนไลน์ โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่อ้างว่าเป็นป้า และรู้จักตำรวจสืบสวนนครบาลที่เพิ่งตามเงินคืนมาได้ 60,000 บาท แนะนำให้ตนรู้จักและพูดคุยกับตำรวจรายหนึ่งที่อ้างว่าเป็นทีมงานของ "สารวัตรแจ๊ะ" ก่อนจะส่งต่อเรื่องให้ "ตำรวจกองปราบปราม" และส่งเอกสารปลอม 2 ฉบับมาให้ อ้างว่าเป็นของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และกรมบัญชีกลาง
โดย เอกสารจาก CIB ระบุว่า ตนเป็นผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกงหลอกโอนเงินจำนวนประมาณ 3 ล้านบาท และ CIB จะไม่ให้ผู้เสียหายเดินทางมารับเงินที่สำนักงาน เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่จะโอนเงิน 1,619,884.97 บาท เข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย โดยมีค่าประกันวงเงิน 161,988.49 บาท ซึ่ง CIB จะช่วยออกให้ครึ่งหนึ่ง และมีเงินส่วนตัวของหัวหน้าทีม IT ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเครือข่ายออนไลน์ จำนวน 50,000 บาท แต่ผู้เสียหายจะต้องจ่ายค่าประกันวงเงินเพียง 30,994.24 บาท ซึ่งเอกสารระบุว่าได้โอนประกันวงเงินเสร็จสิ้นแล้ว
อีกฉบับเป็นเอกสารจาก กรมบัญชีกลาง ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เรื่องภาษีกรมบัญชีกลาง 10% ระบุว่า ยอดเงินของตน ที่กรมบัญชีกลางจะสั่งจ่ายคือ 1,619,884.97 บาท และจะต้องเสียค่าภาษีโอนออก 10% โดยแบ่งโอน 2 รายการเข้าธนาคาร โดยแต่ละรายการต้องเสียภาษี 5% และจะได้รับเงินภายใน 12 ชั่วโมงหลังจากเสียภาษีเสร็จสิ้น หากเกิดข้อผิดพลาด กรมบัญชีกลางจะรับผิดชอบชดใช้เงินทั้งหมด
ด้วยความหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่และเอกสารจริง ตนจึงโอนเงินเก็บที่เหลือทั้งหมดและเงินที่กู้ยืมมาไปให้อีกหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 รวมประมาณ 2 ล้านบาท ทำให้ตนต้องประสบปัญหาถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้และข่มขู่ที่บ้านในนครราชสีมาทุกวัน ลูกชายก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม และไม่รู้ว่าจะเรียนจบปีสุดท้ายได้อย่างไร
เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.) ตนจึงเดินทางมาแจ้งความที่ บก.ปอท. แต่กลับถูกปฏิเสธการรับแจ้งความ แนะนำให้กลับไปแจ้งที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ท้องที่เกิดเหตุ ทำให้รู้สึกท้อแท้และไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้ชีวิตอย่างไรดี หลังจากนั้นได้ไปที่ สอท.ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าแจ้งความได้ครั้งเดียว ไม่สามารถแจ้งความซ้ำได้ แนะนำให้ไปร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อจากนั้นตนได้ข้ามไปสอบถามที่กระทรวงยุติธรรม เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีเคสลักษณะของตน ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร ปลอบใจว่าใครๆ เขาก็โดนแบบนี้ มีทั้งอัยการ ผู้พิพากษาก็โดนกันทั้งนั้น จากนั้นตนจึงเดินทางกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อคืนจึงต้องอาศัยนอนที่หน้าร้านกาแฟข้างกองปราบปราม จนถูกยุงกัดทั่วตัวตลอดทั้งคืน
แท็กที่เกี่ยวข้อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์