อาชญากรรม

ศาลให้ประกัน ‘ทนายพัช-อดีตสามีแอม’ หลักทรัพย์คนละ 1 แสน - ย้อนคำพูด ‘ทนายพัช’ มั่นใจชนะคดี 100%

โดย petchpawee_k

21 พ.ย. 2567

121 views

ศาลให้ประกันตัวทนายพัช-อดีตสามี หลักทรพย์คนละ 1 แสน ทนายพัช ไม่รู้แอมตัดสินใจไม่เบิกความ เผยหลังศาลพิพากษาประหารแอมบอก "ไม่เห็นความยุติธรรม" ได้ทำใจไว้แล้ว ย้อนคำพูด “ทนายพัช” มั่นใจต่อหน้าสื่อชนะคดี 100% ยืนยันมีพยานหลักฐานและข้อต่อสู้ ชี้ “อย่างมากก็โดนประหาร ถ้าสารภาพต้องติดคุกตลอดชีวิต”

ช่วงเย็นวานนี้ ( 20 พ.ต.67) ทนายความของ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีแอม ไซยาไนด์ และ น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช ได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวหรือประกันตัวทั้งสองในระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ศาลอาญาพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือประกันตัวทั้งคู่ ด้วยหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท  

17.38 น. พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีแอม เดินออกจากศาหลังได้ประกันตัว ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม เจ้าตัวได้หันมามองนักข่าว แต่ไม่ตอบคถามใด ๆ เดินปรี่ขึ้นรถยนต์ที่มาจอดรอรับบริเวณลานจอดรถของศาลอาญา ก่อนที่รถจะขับออกจากศาลอาญาไป

ต่อมา 17.55 น. น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช ออกมาจากอาคารศาลอาญา หลังจากได้รับการปล่อยตัวตามคำสั่งศาล พร้อมด้วยนายไชยา คุ้มอ่ำ ทนายความของจำเลยทั้งสามคน โดยทนายไชยา กล่าวว่า ในส่วนคำพิพากษาในวันนี้ ถือเป็นดุลยพินิจของศาล เราต้องเคารพและไม่ก้าวล่วงต่อศาล เมื่อศาลใช้ดุลพินิจแบบไหน เราต้องมีหน้าที่ในการต่อสู้ในชั้นอุทรณ์ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามด้วยความเคารพต่อศาล ตนไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา เนื่องจากยังไม่ปรากฏประจักษ์พยานที่เห็นชัด พยานหลักฐานมีแต่เพียงฝั่งโจทก็กล่าวอ้างนำสืบ แต่ไม่มีพยานหลักฐานและคำให้การของฝั่งจำเลยปรากฏในคำพิพากษาเลย

ขณะที่ทนายพัช กล่าวว่า ในพยานของฝั่งจำเลยที่นำสืบในชั้นศาล มีทั้งพยานบุคคลที่เป็นคนติดตั้งกล้องวงจรปิดและความเห็นของแพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ก็ไม่ปรากฏไม่ค่อยพิพากษา ทำให้ตนรู้สึกติดใจเป็นอย่างมากว่าไม่มีอยู่ในคำพิพากษาได้อย่างไร

ทนายไชยา กล่าวต่อว่า ทั้งพยานและคำให้การของฝั่งจำเลยนั้น ได้นำสืบแก่ศาลในชั้นพิจารณาเรียบร้อยแล้ว แต่ตนมีความเห็นว่า ศาลไม่ยกประเด็นฝั่งจำเลยมาพิจารณาเลย ศาลมองแค่จำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวอ้างเท่านั้น โดยศาลรับฟังแต่ในส่วนที่โจทก์นำสืบพยาน แต่ยังมีในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ยกมานำสืบพยาน ทว่าศาลกลับใช้ดุลยพินิจเชื่อว่า จำเลยน่าจะได้กระทำความผิดหรือมีพยานหลักฐาน  ซึ่งในชั้นอุทธรณ์นั้น จะมีหลายประเด็นที่ต้องต่อสู้ใ นส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โดยจะเน้นต่อสู้ในเรื่องข้อกฎหมายด้วนการนำพยานหลักฐานฝั่งตนเองที่เคยนำสืบไปแล้วกับหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์มาต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ แต่ฝั่งตนคงไม่นำเสนอพยานหลักฐานใหม่มาต่อสู้

โดยทนายไชยา ได้ยกตัวอย่างกรณีที่กล่าวหาว่ามีสารไซยาไนด์ปลอมปนในรถ ซึ่งฝั่งของตนมีการนำสืบว่า พบภาพวงจรปิดอย่างน้อย 3 ตัวที่หันมาทางรถที่จอดริมเขื่อนและขยายเห็นภาพภายในรถได้สูงถึง 2 ล้านพิกเซล ซึ่งฝั่งตนนั้นมีพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายและผู้ติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มายืนยันเห็นได้ชัดว่า ไม่ปรากฏพฤติการณ์วางยาพิษภายในรถ แต่ในประเด็นดังกล่าวฝั่งโจทก์ไม่ได้นำสืบในชั้นศาล ทั้งที่ทางตำรวจได้เก็บกล่องกล้องวงจรปิดชุดนี้ไปแล้ว ทำให้ศาลเชื่อว่ามีการกระทำความผิดดังกล่าวตามที่โจทก์ชี้นำ แม้จะไม่มีภาพยืนยัน โดยตนเชื่อว่า เป็นเพราะโจทก์เกรงว่าจะทำให้ศาลเห็นว่าฝั่งจำเลยไม่มีพฤติการณ์วางยาพิษ

ทนายไชยา กล่าวอีกว่า ตนยังได้โต้แย้งอีกว่า ภายในรถดังกล่าวมีลูกของผู้ต้องหาอยู่ด้วย แต่ไม่มีใครได้รับอันตราย เพราะถ้าหากเปิดขวดไซยาไนด์ขึ้นมา สารพิษจะต้องฟุ้งกระจายในรถแล้ว ทั้งแอมและลูกก็ต้องได้รับอันตราย รวมทั้งผู้ที่มาตรวจรถต้องได้รับอันตรายจากสารไซยาไนด์ที่ตกค้างแล้วเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ทนายพัชเผยอีกว่า ยังตรวจไม่พบสารไซยาไนด์ในตัวของแอม รวมทั้งเสื้อผ้าหรือที่เล็บของผู้ตายก็ไม่พบ DNA ของบุคคลอื่น ส่วนประเด็นที่พบว่า มีถุงดำปรากฎในข่าวนั้น ก็ไม่พบ DNA ของแอมเช่นเดียวกัน

เมื่อถามประเด็นที่มีการพบขวดไซยาไนด์อยู่ภายในรถได้อย่างไร ทนายพัชกล่าวว่า ทางตำรวจมีการสั่งซื้อไซยาไนด์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 แล้วนำมาทดสอบในรถเพื่อประกอบในสำนวนคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิตแล้ว แอมมีความรู้สึกอย่างไร ทนายไชยา กล่าวว่า แอมบอกเพียงว่า "ไม่เห็นความยุติธรรม" และแอมได้ทำใจไว้แล้วว่าผลพิพากษาจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ด้วยความเป็นผู้หญิงไม่มีทางที่จะไม่มีความเครียด รวมทั้งแอมมีความเป็นห่วงและคิดถึง พ.ต.ท.วิฑูรย์ กับทนายพัชมากกว่าตัวเอง โดยระหว่างพูดคุยหลังคำพิพากษา แอมตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด /ด้านทนายพัช กล่าวเสริมว่ามีคำพูดที่แอมพูดไว้ด้วย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเกรงว่าจะละเมิดอำนาจของศาล

ส่วนการต่อสู้ของตนและ พ.ต.ท.วิฑูรย์ ในชั้นอุทธรณ์ ทนายไชยากล่าวว่า คดีในส่วนนี้มีข้อโต้แย้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ได้ แต่ไม่ขอเปิดเผยข้อต่อสู้เพราะจะมีผลต่อการต่อสู้ของรูปคดี ซึ่งส่วนตรงนี้ไม่มีข้อกังวล ทั้งนี้ทนายไชยาเปิดเผยคร่าว ๆ ว่า คำซัดทอดของ พ.ต.ท.วิฑูรย์ ศาลมองว่าไม่ได้ทำให้ตนเองพ้นผิด เพราะเชื่อว่ามีอยู่จริงในไลน์และน่าจะพูดคุยกันจริง เพียงแต่โจทก์ไม่ได้นำสืบประเด็นดังกล่าว ขณะที่ทนายพัชกล่าวต่อมาว่า เนื่องจากตนเองเป็นคนเรื่องมาก จึงได้สำรองข้อมูลไฟล์แชทเอาไว้ เมื่อโจทก์ไม่นำเสนอส่วนนี้ ตนก็นำเสนอต่อศาลเอง

นอกจากนี้ทนายไชยา ยังระบุเพิ่มเติมว่า การที่ลูกความเชื่อมั่นและไว้ใจทนายความ เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งขึ้นกับตัวลูกความว่าจะเชื่อมั่นอย่างไร ทนายความทำหน้าที่แค่บอกข้อดีข้อเสียแก่ลูกความ คนตัดสินใจคือลูกความ จะไปบังคับไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ทนายพัชกล่าวเสริมว่า มีบ่อยครั้งที่ตนกล่าวอะไร แล้วลูกความไม่เชื่อฟัง

ดังนั้นประเด็นที่มองว่า ก่อนหน้านี้ทำไมแอมไม่เบิกความในชั้นศาล ทนายไชยา ชี้แจงว่า เป็นเพราะหลักฐานทางตำรวจเพิ่งส่งมาในวันสืบพยานส่วนของแอม ซึ่งหลักฐานดังกล่าวนั้น ไม่ได้ปรากฏในวันชี้สองสถาน จึงทำให้ต้องเสียเวลาไปคัดถ่ายและเป็นเอกสารมีจำนวนหลายหน้า ทำให้แอมเตรียมตัวอ่านเอกสารหลักฐานดังกล่าวไม่ทัน เลยประสงค์ที่จะขอเลื่อนสืบพยานจำเลยที่หนึ่งก็คือแอม แต่ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อน

ภายหลังศาลได้อนุญาตให้จำเลยก็คือแอมได้อ่านเอกสารดังกล่าวก่อน และสอบถามว่าจะเบิกความหรือไม่ โดยในส่วนนี้ทนายพัช ยืนยันว่า ตนไม่ทราบการตัดสินใจของแอมและไม่ได้ยุห้ามแอม เพราะตนเองก็อยู่ไกลจากแอม จะตะโกนได้อย่างไร และไม่รู้ว่าแอมทำไมถึงตัดสินใจที่จะไม่เบิกความ ทั้งนี้จากการสังเกตสีหน้าของทนายพัช พบว่ามีสีหน้าที่ดูไม่มีท่าทีกังวลหลังศาลอ่านคำพิพากษาในวันนี้แต่อย่างใด

ทีมข่าวย้อนคำพูดของทนายพัช ที่ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “มั่นใจ แอมชนะคดี 100%” โดยเธอได้ให้เหตุผลว่าดูจากดูพยานหลักฐานของโจทก์แล้ว ยังมีหลายอย่างที่คลุมเครืออยู่มาก พร้อมระบุว่าหากเป็นการจับได้แบบคาหนังคาเขาคือไม่รอด เพราะฉะนั้นถ้าอีกฝ่ายต้องการเอาผิดแอม ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนชัด ทั้งยังระบุอีกว่าสิ่งที่เป็นข้อต่อสู้ในฝั่งของแอมมไซยาไนด์ที่จะทำให้ชะนคดีได้ คือลักษณะทางภูมิศาสตร์ในที่เกิดเหตุก ซ่งมีลักษณะเป็นเนินสูงและลาดลงไป จึงยืนยันว่าจุดที่แอมยืนอยู่ ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าก้อยกำลังล้มลงไปและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ในวันที่ 5 พ.ค. 66 ช่วงที่ต่อสู้คดีให้ ‘แอม ไซยาไนด์’ ซึ่งถูกควบคุมตัวไว้ในเรือนจำ ทนายพัช ยังได้บอกกับสื่อว่าแอมค่อนข้างกดดัน ไม่อยากให้ใครมาเยี่ยมนอกจากตนเอง ซึ่งเธอได้ให้กำลังใจแอม โดยยืนยันว่าจะไม่ทอดทิ้งแอม ไซยาไนด์ อย่างแน่นอน ต่อให้ไม่มีเงินจ่ายค่าทนาย ก็จะช่วยทำคดีนี้อย่างถึงที่สุด

ไม่เพียงเท่านั้น ทนายพัช ยังพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยอีกว่า “อย่างดีก็แค่ประหาร” ก่อนจะขยายความว่าด้วยประสบการณ์ที่ทำมาหลายคดี หากศาลจะมีการตัดสินโทษประหารชีวิต ต้องเป็นคดีที่มีความผิดร้ายแรงถึงที่สุดจริง ๆ แต่หากแอมรับสารภาพในคดีดังกล่าวแล้ว อาจมีผลต่อคดีอื่น ๆ ทำให้ต้องติดคุกตลอดชีวิตด้วย “อัตราโทษประหารคนเรามีเพียงแค่ 1 ชีวิต ถ้าจะประหารชีวิตก็ได้แค่ชีวิตเดียว กี่คดีที่เข้ามาไม่ต้องสนใจเลย แต่ถ้ารับสารภาพต้องจำคุกตลอดชีวิต แล้วก็มีอะไรต่อมา การรับสารภาพคดีหนึ่ง จึงมีผลต่อคดีอื่นด้วย”

อย่างไรก็ตามในด้านคดีความ “ทนายพัช” เดินหน้าสู้คดีให้ “แอม ไซยาไนด์” ด้วยท่าทีมั่นใจว่าลูกความของตนไม่ได้ทำความผิด แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า “แอม ไซยาไนด์” เปลี่ยนตัวทนายความ โดย “ทนายพัช” ไม่ใช่ทนายความของเธออีกต่อไป แต่จากนั้นไม่นานก็มีการตั้ง “ทนายพัช” กลับมาทำคดีให้อีกครั้งหนึ่ง

จนกระทั่งตำรวจที่ทำคดี “แอม ไซยาไนด์” พบว่ามีผู้เกี่ยวข้องในคดีอีก 1 คน หลังพบพยานหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการจัดส่งกระเป๋าแบรนด์เนม และทรัพย์สินของเหยื่อในคดีแอม ต่อมาตำรวจได้ออกเรียกตัว “ทนายพัช” มารับทราบข้อกล่าวหา

กระทั่งวันที่(20 พ.ย. 67 “ทนายพัช” ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ในความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยมิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน โดยศาลบรรยายพฤติการณ์ว่า “จำเลยที่ 3 ในฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี ประกอบ กลับส่งคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น” จนนำมาสู่คำพิพากษาดังกล่าว


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/cwIu617cMYg


คุณอาจสนใจ

Related News