อาชญากรรม

ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ Lock Star รวบนักธุรกิจเบื้องหลังเครือข่าย Call Center

โดย kanyapak_w

5 ก.ค. 2567

410 views

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)  เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร เชียงราย นนทบุรี ปทุมธานี ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา กลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ ไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ตั้งแต่ระดับหัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และคนที่ดูแลเรื่องฟอกเงิน ซึ่งในคดีนี้ได้จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาพระโขนง จำนวน 6 ราย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. MR.ZHIVEI หรือ นายจีเว่ย (สัญชาติจีน) อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 372/2567 ลง 28 มิ.ย.67 ทำหน้าที่ระดับสั่งการ / รับผลประโยชน์

2. MR.JUE หรือ นายจู (สัญชาติจีน) อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 262/2567 ลง 8 พ.ค.67 ทำหน้าที่กลุ่มบริหารจัดการ / แปรสภาพทรัพย์สิน

3. นายธนโชติฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 369/2567 ลง 28 มิ.ย.67 ทำหน้าที่ระดับสั่งการ / รับผลประโยชน์

4. นางสาวชณัฐธิษาฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 370/2567 ลง 28 มิ.ย.67   ทำหน้าที่ระดับสั่งการ / รับผลประโยชน์

5. นายศิวาฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 368/2567 ลง 28 มิ.ย.67   ทำหน้าที่ระดับสั่งการ / รับผลประโยชน์

6. น.ส.ชลดาฯ อายุ 27 ปี  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 371/2567 ลง 28 มิ.ย.67     ทำหน้าที่ระดับสั่งการ / รับผลประโยชน์


ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ ร่วมกันฟอกเงิน”



ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 209 มาตรา 341 มาตรา 342(1) มาตรา 343 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (ฉบับแก้ไข พ.ศ.2560) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 มาตรา 25 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (3) มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา มาตรา 9 มาตรา 60

พฤติการณ์ของคดี  สืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ 2/2566 ลง 12 ต.ค.66 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC)  โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เป็นประธานอนุกรรมการและมี

พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุน โดยมีการ   โพสข้อความสาธารณะลักษณะชักชวนให้เข้าไปลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) โดยเสนอให้ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินไปลงทุน ต่อมาพบว่าไม่มีการลงทุนจริง



โดยพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายจะหลอกให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่คนร้ายสร้างขึ้นมา และให้ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารที่คนร้ายแจ้งเพื่อซื้อเหรียญดิจิทัล โดยทุกครั้งที่ผู้เสียหายโอนเงินไปให้กลุ่มคนร้าย ยอดเหรียญดิจิทัลจะแสดงในแอปพลิเคชันสอดคล้องกับจำนวนที่โอนเข้าไป และมีกำไรเข้ามาจากการลงทุนแสดงอยู่ในแอปพลิเคชัน ภายหลังตรวจสอบพบว่าเป็นการปลอมตัวเลขขึ้นมาทั้งหมด เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และโอนเงินเข้าไปเพิ่มอีก เมื่อผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ที่จะขอถอนเงินออกมา กลุ่มคนร้ายก็แจ้งว่าไม่สามารถทำได้



เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษี และยังหลอกให้ผู้เสียหายต้องโอนเงินเข้าไปเพิ่มอีก ผู้เสียหายได้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มคนร้าย จำนวน 17 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 22.4 ล้านบาท ก่อนที่กลุ่มคนร้ายจะทำการปิดเว็บไซต์ไป และบล็อกช่องทางการติดต่อทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อกับกลุ่มคนร้ายได้อีก ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีกับคนร้ายในคดีนี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด กก.1 บก.ปอท. จึงได้ประสานข้อมูลการรับแจ้งมายังศูนย์ AOC พบว่ามีผู้เสียหายหลงเชื่อและทำการโอนเงินเพื่อลงทุนตามประกาศโฆษณาในเพจดังกล่าว และได้รับความเสียหายหลายราย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ปลอมได้ปิดเว็บไซต์ไปแล้ว



ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ร่วมกับ อสส. และ ปปง. ทำการสืบสวนเส้นทางการเงิน และเส้นทางของเหรียญดิจิทัลที่ได้จากการฉ้อโกงผู้เสียหายพบว่า ภายหลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารแล้ว กลุ่มคนร้ายจะนำเงินดังกล่าวไปซื้อเหรียญดิจิทัลแล้วโอนต่อไปยังกระเป๋าเหรียญดิจิทัลส่วนตัว หรือ Private wallet กว่า 20 กระเป๋า เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากนั้นกลุ่มคนร้ายจะมีการโอนเหรียญดิจิทัลไปรวมที่กระเป๋าเหรียญดิจิทัลกลางของคนร้าย ก่อนที่จะมีการเทขายเหรียญดิจิทัลเพื่อเปลี่ยนจากเหรียญดิจิทัลให้กลายเป็นเงินบาทไทย


โดยรูปแบบการกระทำความผิดของกลุ่มคนร้าย พบว่าเป็นการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะแบ่งเป็น (1) หัวหน้า ทำหน้าที่ สั่งการ, (2) กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ ติดต่อพูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, (3) กลุ่มนายหน้า จัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า รวบรวมบัญชีต่างๆ นำไปมอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์, (4) กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล (5) กลุ่มที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน โดยนำเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปซื้อทรัพย์สินมีค่า และอสังหาริมทรัพย์ ต่าง ๆ



เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ โดยเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวจีนและชาวไทย ซึ่งเป็นกลุ่มระดับสั่งการ, ผู้บริหารดูแลเรื่องฟอกเงิน และรับผลประโยชน์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งสิ้นจำนวน 6 ราย ประกอบด้วยชาวจีน 2 ราย ชาวไทย 4 ราย จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป



จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจับกุม ตรวจยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ เป็นของมีค่าจำนวนหลายรายการ อาทิเช่น บ้านหรู จำนวน 1 หลัง มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน, เงินสด (เงินไทยและต่างประเทศ) รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท, สร้อยคอทองคำ, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนเนมด์, คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ และ เหรียญดิจิทัลสกุลต่างๆ มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท





ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยประชาชน ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนให้ถี่ถ้วน      ก่อนการลงทุนทุกครั้ง, อย่ารีบตัดสินใจลงทุนหรือหลงเชื่อบุคคลอื่นที่ชักชวนโดยง่าย เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพมักแอบอ้างข้อมูลที่ปลอมขึ้นมาเองทั้งหมดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และอย่าตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะเห็นว่ารูปแบบเว็บไซต์นั้นดูน่าเชื่อถือ ควรมีการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

แท็กที่เกี่ยวข้อง  อาชญากรรม ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์

คุณอาจสนใจ

Related News