อาชญากรรม

แฉ 'แก๊งทรชน' เปลี่ยนสีรถ อำพรางตัวก่อนหนี - เพื่อนผู้ต้องหาปทุมวันลั่น เป็นแพะ! แนะไปวัดกันที่ชั้นศาลดีกว่า

โดย petchpawee_k

24 พ.ย. 2566

180 views

เพื่อน 8 ปทุมวัน ลั่นปทุมวันเป็นแพะ ยันไม่เกี่ยวข้องกับการยิงอุเทน ขอสื่อรอดูการสู้ในศาล  ด้าน ตร.พบพฤติกรรมสุดแสบ แก๊งทรชน เปลี่ยนสีรถ เครื่องแต่งกาย หวังตบตา ก่อนหนีไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา


ความคืบหน้าการติดตามตัว "ทีมสังหาร" ครูเจี๊ยบ ครูโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ และน้องหยอด นักศึกษาอุเทนถวาย เมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) ตำรวจเจอจุดที่คนร้ายพ่นสีรถจักรยานยนต์ เพื่ออำพรางตัวตบตาเจ้าหน้าที่แล้ว และยังพบวงจรปิดเส้นทางที่หลบหนีโผล่สุพรรณบุรี โดยผลการปฏิบัติการของสืบนครบาลสามารถทำให้ได้ข้อมูลมาต่อเป็นจิ๊กซอว์ ได้มากขึ้น


หากย้อนกลับไปวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง กลุ่มคนร้ายเป็นชาย 2 คน ทราบชื่อต่อมา คือ นายเลาะ และ นายวิน ขี่รถจักรยานยนต์มาไล่ยิง น้องหยอด แต่กระสุนนัดแรกพลาดไปโดน ครูเจี๊ยบ เข้าที่กลางหน้าผากเสียชีวิตคาที่ ส่วนน้องหยอดถูกยิง 4 นัด บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตขณะรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลได้เพียง 8 วัน


วันเกิดเหตุในกล้องวงจรปิดจะเห็นรถจักรยานยนต์คันที่ใช่ก่อเหตุเป็นสีแดง คนยิง นายวิน ซึ่งซ้อนท้ายรถ จยย. ใส่เสื้อคลุมแขนยาวสีฟ้า กางเกงสีดำ สวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบสีขาว  ส่วนคนขี่รถ จยย. คือนายเลาะ สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีน้ำเงินครีม กางเกงยีนส์สีฟ้า และสวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบสีดำ  ซึ่งจากกล้องวงจรปิดเจ้าหน้าที่ไม่พบรถจักรยานยนต์คันก่อเหตุ และรูปพรรณคนร้ายที่ประกาศไว้ เพราะมีการเปลี่ยนสีรถ และเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย


ซึ่งหลังเกิดเหตุเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจไปแกะรอยจากกล้องวงจรปิดทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ตามเส้นทางการหลบหนี เจอจุดที่คนร้ายเปลี่ยนสีรถจักรยานยนต์ เพื่ออำพรางการติดตามของตำรวจแล้ว เป็นป่าหญ้าข้างทาง บริเวณ ต.โคกช้าง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา พบว่ามีจุดพ่นสี โดยมีร่องรอยทั้งสีแดง และสีน้ำเงิน เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบโดยรอบบริเวณดังกล่าวโดยละเอียด ซึ่งเป็นป่า มีหญ้ารกร้าง แต่มีบริเวณหักกิ่งหญ้า และมีร่องรอยสีติดใบหญ้า และดิน จึงประสานให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าเก็บพยานหลักฐานที่พบเพื่อเป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในการดำเนินคดีกับคนร้าย


ทั้งนี้ เมื่อนำมาเทียบกับวงจรปิดที่จับได้อีกจุด จะเห็นว่า รถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุถูกเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน คนขี่เปลี่ยนกางเกงเป็นสีน้ำตาล สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีดำ  ส่วนคนซ้อนเปลี่ยนใส่เสื้อคลุมสีชมพูจากเดิมที่ใส่สีดำ และหมวกกันน็อคจากสีขาวพ่นเป็นสีแดง และหากสังเกตที่พื้นรองเท้าของคนซ้อนจะเห็นว่า พื้นรองเท้าก็เปื้อนสีแดงเหมือนกัน โดยคาดว่าเป็นการเลอะขณะที่นำรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุไปเปลี่ยนสี


โดยทั้งสองคนขับรถบนถนนสาย 340 ช่วงตำบลโคกช้าง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีการขับมาตามเส้นทางเรื่อยๆ แล้วชะลอตัวระหว่างหญ้าเกาะกลางถนน จากนั้นคล้ายกับโยนสิ่งของหรือทิ้งวัตถุบางอย่างแล้วก็ขับรถออกไป


จากนั้นเวลา 12.19 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน กล้องวงจรปิดจับภาพทั้งคู่ได้อีกที ที่บริเวณจุดกลับรถสวนเกษตรเรือนไทย ที่ตำบลมะค่า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งห่างจากเวลาที่ก่อเหตุราว 3 ชั่วโมง


หากไล่เป็นไทม์ไลน์จะเห็นว่าวันเกิดเหตุ (11 พ.ย.) เวลา 9.30 น. 2 คนร้ายก่อเหตุที่คลองเตยแล้วขี่รถจักรยานยนต์มาที่ตำบลโคกช้าง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเปลี่ยนสีรถและอำพรางตัว ก่อนที่จะหลบหนีไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี


ทั้งนี้มีข้อมูลว่า การแกะรอยรถคันดังกล่าว ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดกว่า 1,000 ตัว จนได้ข้อมูลว่ารถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุเป็นรถที่ขโมยมา เดิมมีสีเหลือง แต่ถูกนำไปดัดแปลง และพ่นสีใหม่เป็นสีแดง ก่อนนำไปก่อเหตุ  จากนั้นหลังก่อเหตุแล้ว คนร้ายได้นำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาพ่นสีใหม่อีกครั้ง เป็นสีน้ำเงิน เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ในการหลบหนี


จากการสอบถามชาวบ้าน ให้ข้อมูลว่า หากเป็นชาวบ้านในพื้นที่ถ้าขับขี่รถจักรยานยนต์จะไม่สวมหมวกกันน็อคชนิดเต็มใบแบบนี้ ดังนั้นภาพของคนร้ายที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ทั้งการเปลี่ยนสีรถจักรยานยนต์เปลี่ยนเสื้อผ้า หมวกกันน็อค เป็นพฤติกรรมที่จงใจปกปิดตนเอง และผิดปกติจากบุคคลทั่วไปที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น


ส่วนกรณีที่รถจักรยานยนต์ที่ตรวจยึดมาจากเซฟเฮาส์ทั้ง 8 คัน พบว่ามีการถอดแผ่นป้ายทะเบียนออกเกือบทุกคันและบางคันก็มีติดป้ายเข้าออกสถานที่ราชการด้วย และที่สำคัญพบเสื้อคลุม คล้ายกับของพนักงานไปรษณีย์ไทย เรื่องนี้พลตำรวจตรี ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตํารวจนครบาล ระบุ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรถจักรยานยนต์ทุกคันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีอื่นด้วยหรือไม่ และนำไปก่อเหตุคดีใดบ้าง ส่วนเสื้อคลุมนั้นก็ต้องตรวจสอบว่าเป็นพฤติกรรมในการอำพราง และเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมหรือร่วมก่อเหตุแบบใดบ้าง


ส่วนกรณีที่บอกว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมนั้น ถ้ายังจับไม่ได้ อาจทำให้ประชาชนหวาดกลัว เพราะมีจำนวนสมาชิก 84 คนและอาจจะไปก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ พลตำรวจตรีธีรเดช ระบุว่า ตำรวจอยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใต้ดินที่ไม่มีใครยอมรับมานานแล้วและถึงเวลาที่ตำรวจจะต้องกระชากหน้ากากของคนกลุ่มนี้ให้ได้

-------------------------------

ขณะเดียวกัน หลังจากที่เมื่อวันที่ 22 พ.ย.66 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลคุมตัว 7 ผู้ต้องหา แก๊งมือยิง "ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด" ฝากขัง สน.ทุ่งมหาเมฆ


ความคืบหน้าวานนี้ (23 พ.ย.66) เวลาประมาณ 13.00 น. พบว่า นายเอ (นามสมมุติ ) อายุ 22 ปี เดินทางเข้าเยี่ยมกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย ที่ควบคุมตัวอยู่ที่ สน. ทุ่งมหาเมฆ พร้อมเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ตนเองเป็นนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ ที่สถาบันแห่งหนึ่งแต่ไม่ใช่ที่ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน แต่ตนเองรู้จักกับหนึ่งในผู้ถูกคุมขังซึ่งโตกันมาตั้งแต่เด็ก และที่เหลือรู้จักกันผ่านการร่วมกันติววิชาด้านวิศวกรรม ที่ตนเองมาติวหนังสือแลกเปลี่ยนความรู้ความรู้กันกับกลุ่มนักเรียนของเทคโนโลยีปทุมวัน


นายเอ ยืนยันว่าเพื่อนทั้ง 7 คนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ ยิงนักศึกษาอุเทนถวาย ตามที่ตำรวจมีการคุมตัวและแจ้งข้อหา การจับกุมในครั้งนี้เป็นการจับแพะ และขอให้ทุกคนรอดูการต่อสู้ในชั้นศาล ยืนยันว่ามีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ได้


ทีมข่าวได้พยามสอบถามว่าว่าการเดินทางมาเยี่ยมครั้งนี้มีการเดินทางมาเยี่ยมใครเป็นพิเศษ นายเอไม่ได้มีการตอบคำถามใดๆ


เมื่อถามว่ารู้จักกับนายเลาะหรือนายวิน ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ตำรวจต้องการตัว ในคดีนี้หรือไม่ นายเอ (นามสมมุติ) ตอบคำถามสื่อมวลชนด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าไม่รู้จัก และมีการตั้งคำถามกลับว่า ทั้งสองเป็นใคร ตนเองไม่รู้จัก รวมถึงเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ารู้จักนายเอย ผู้ต้องหาตามหมายจับครั้งเก่าของ สน. ปทุมวัน หรือไม่ นายเอ ก็ยืนยันว่าไม่รู้จักเช่นเดียวกัน


นายเอ (นามสมมุติ) ยังมีการตั้งคำถามกับกับสื่อมวลชนอีกว่า ทำไมไม่คิดว่าการยิงในครั้งนี้จะมาจากสถาบันอื่น ทำไมไม่คิดว่าคนยิงมาจากช่างอุตฯ เพราะอุเทนถวายก็เคยไปยิงเด็กของช่างอุตฯเช่นเดียวกัน ทำไมจะต้องเป็นปทุมวัน


นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้สังเกตุเห็นว่าขณะที่นายเอ (นามสมมุติ) เดินทางเข้าไปอยู่บริเวณหน้าห้องเยี่ยม ภายในห้องขัง ได้มีการกล่าวทักทายกับผู้ต้องหาทั้งหมด และผู้ต้องหาทั้งหมดต่างพูดคุยกับนายเอ ด้วยท่าทีสนิทสนม โดยนายเอ ใช้เวลาในการพูดคุยประมาณ 20 นาที ก็กลับออกมา โดยมีตำรวจฝ่ายสืบสวย เดินเข้ามาสอบถามว่าสะดวกให้ข้อมูลหรือไม่ นายเอ ปฏิเสธ ว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ขอให้ข้อมูลใดๆ และเดินกลับออกไปในทันที


ในเวลาต่อมามีมารดาและบิดาของนายธนากร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเดินทางเข้าเยี่ยมเช่นเดียวกัน โดยใช้เวลาไม่นาน ก็กลับออกมา และปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ บอกกับสื่อมวลชน  ว่าลูกชายตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนที่ต้องอยู่รวมกัน เพราะค่าเช่าแพง เลยต้องอยู่รวมกันและช่วยกันออกค่าเช่า ก่อนจะเดินกลับออกไปจาก สน.ทุ่งมหาเมฆ 


ขณะที่มีรายงานว่า ตำรวจสืบสวนนครบาลมีการคุมตัว นายธนภัทร อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของตำรวจสน. ทุ่งมหาเมฆ ในข้อหาสมคบกันอั้งยี้ซ่องโจร ที่ก่อนหน้านี้มีการแจ้งข้อกล่าวหาและผู้ต้องหาช็อคเป็นลมหมดสติต้องเข้ารับรักษาตัวที่ห้องไอซียูของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในวันนี้มีการคุมตัวมาทำการสอบปากคำเบื้องต้น ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนสอบ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนเตรียมคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวนสน. ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินการทางคดีต่อไป


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/LEc7rLCN0D8

คุณอาจสนใจ

Related News