บิ๊กโจ๊ก ไม่รู้กองปราบฯ รื้อสอบคดียิงสารวัตรศิวกร ปัดขัดแย้งปมตั้งข้อหา ม.157

พล.ต.อ.สุเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงคดีการเสียชีวิตของ พ.ต.ท.ศิวกร สายบัว หรือ สารวัตรศิว ถูกลูกน้องกำนันนก ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต และการดำเนินคดีกับตำรวจที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้โอนสำนวนไปให้กองบังคับการปราบปราม ว่าส่วนตัวยังไม่ทราบว่ามีการเริ่มทำคดีใหม่อย่างไร เพราะคดีทางกองบังคับการปราบปรามก็สอบสวนเอง เป็นคนทำอยู่แล้ว และไม่มีใครไปก้าวก่าย

ส่วนตำรวจภูธรภาค 7 และชุดสืบสวนตำรวจ สนับสนุนเรื่องการสืบสวน เพราะคดีกำนันนก ต้องใช้การสืบสวนนำการสอบสวน เพราะที่เกิดเหตุพยานหลักฐานถูกทำลายเสียหายหมดแล้ว ตำรวจในที่เกิดเหตุไม่มีใครรักษาสถานที่เกิดเหตุ ไม่มีใครจับกุมความผิดซึ่งหน้า จึงต้องใช้งานสืบสวนคือตำรวจภูธรภาค 7 เพราะมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ และชุดสืบสวนตำรวจเข้าไปเสริม เป็นการทำงานร่วมกัน ไม่มีอะไร ส่วนเรื่องการสอบสวน ผบ.ตร.ได้โอนไปให้กองปราบปรามตั้งแต่ 2-3 วันแรก และกองปราบปรามก็ทำเรื่องสอบสวนอยู่แล้ว วันนี้ไม่มีประเด็นอะไรที่น่าหนักใจ ไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องขัดแย้ง เพราะเป็นเรื่องของการทำงานร่วมกัน ต้องบูรณาการร่วมกัน เพื่อเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงที่มีการตั้งข้อสังเกตในส่วนของข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ทั้งจำนวนกล้องวงจรปิด และการแจ้งข้อหา ม.157 กับตำรวจจำนวนไม่ตรงกันนั้น ตรงนี้ส่วนตัวไม่ทราบว่าทางกองปราบปรามพิจารณาอย่างไร แต่ครั้งแรกที่ทำงานร่วมกับกองปราบ อย่างจำนวนกล้องวงจรปิดมีจำนวน 13 ตัว ตนเองก็ไม่คิดขึ้นเอง แต่เป็นข้อมูลของสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน ที่ทำการตรวจสอบว่ามี 13 ตัว ส่วนอีก 2 ตัว ใช้ไม่ได้ 1 ตัว และถูกปิดสวิตซ์ไป 1 ตัว และยังได้บริษัทเชี่ยวชาญมาช่วยทำการกู้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นในส่วนของพยานหลักฐานจะมาเปลี่ยนคงทำไม่ได้ เพราะเป็นวิทยาศาสตร์

การจะบอกว่าใครละเว้น ใครไม่ละเว้น ต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ส่งรายงานชุดสืบสวนให้ทางกองปราบไปหมดแล้ว ทางกองปราบก็จะต้องพิจารณาในการแจ้งข้อหากับผู้ที่กระทำผิดทั้งหมดอย่างรอบคอบ การทำงานต้องยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส เรื่องนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย ไม่ให้สังคมเกิดข้อครหา