อาชญากรรม

'ชูวิทย์' ยังเดือดต่อ ถือตะเกียงก่อนแถลงข่าว 'ตู้ห่าว' ซัด 'ผบ.ตร.-อธิบดีอัยการ' นั่งเทียนเขียนในห้องแอร์

โดย thichaphat_d

6 ม.ค. 2566

175 views

แฉไม่หยุด ชูวิทย์ปล่อยคลิปผับจินหลิง อ้างแบ่งยา กันจะๆ ตักใส่ถุง ชั่งน้ำหนัก ตั้งโต๊ะแถลงจัดหนัก ถือตะเกียงนำทาง เปรียบประเทศอยู่ในความมืดมิด ไร้แสงสว่าง จวกผู้นำเมินคดีตู้ห่าว สนใจแต่เรื่องตัวเอง พร้อมฝากเทียนให้ ผบ.ตร. และอัยการ ซัดนั่งเทียนเขียนสำนวน เก็บหลักฐานแบบเว้นวรรค ไม่แน่นหนา


วานนี้ (5 ม.ค. 65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์คลิปจากกล้องวงจรปิด ความยาวประมาณ 2.25 นาที โดยในภาพ จะเห็นภายในห้องดังกล่าว มีลักษณะคล้ายห้องเก็บของ มีสินค้าต่างๆ โดยที่มุมล่างขวาของกล้อง จะเห็นภาพชายคนหนึ่ง กำลังตักสิ่งของที่มีลักษณะเป็นผงสีขาวใส่ถุงซิปล็อก ก่อนจะนำมาชั่งน้ำหนักบนตาชั่งดิจิตอล จากนั้นได้เขียนข้อความบางอย่างลงบนถุง ก่อนจะนำถุงที่บรรจุผงสีขาวใส่ในกระเป๋าสะพาย แล้วคลิปก็ตัดไป และระบุข้อความ ว่า


“คลิปแบ่งยา” มิน่าถึงรวยเอารวยเอา ทำได้ทุกอย่าง เพราะมีเงินจ่ายได้ทุกเรื่อง ไม่ทราบว่าจะจบแบบคดีตู้ห่าวที่ภูเก็ตหรือเปล่า? 


ที่ประกาศก้องในคลิปที่ผมเปิดก่อนหน้าว่า “คนมีเงินทำได้ทุกอย่าง” หรือจะเหมือนคดี “บอส กระทิงแดง” หรือไม่?


เพราะไม่ทราบ “นั่งเทียนเขียนในห้องแอร์” ทั้ง ผบ.ตร. และท่านอธิบดีอัยการ ไหม? ทั้งสองไม่เคยลงตรวจพื้นที่เกิดเหตุเลย จะทราบอะไรได้ไง? ท่าน ผบ.ตร. บอกเป็นคนทำหน้าที่แทน ผบช.น. ส่วนอีกท่านเป็นคณะทำงาน ก็นั่งสอบกันในห้องแอร์ แล้วประสานเสียงบอก “สมบูรณ์แล้ว”


ขนาดผมไปให้การอัยการ ยังรู้เลยว่าอัยการบางคนมาพูดเลอะเทอะในห้องสอบสวน เอางี้ ผมแนะนำ ไหนๆ ก็ทำคดีใหญ่แบบนี้แล้ว ลองไปตรวจที่เกิดเหตุหน่อยดีไหมครับ? ต่อไปจะได้ทราบว่าที่ตั้ง “จินหลิง” อยู่ไหน จะได้ไม่เลยไปลงแม่น้าเจ้าพระยา เพราะมัวแต่ปกป้อง ผบช.น.


กระบวนการทั้งตำรวจและอัยการ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรง่ายๆ ครับ เรื่องลึกลับดำมืดที่เกี่ยวพันไม่ว่าปล่อยรถของกลาง ปล่อยผู้ต้องหา เอาอะไรไปมัดตู้ห่าว เพราะพยานที่ตำรวจมี ล้วนไม่มีน้ำหนัก พนักงานเสิร์ฟ หญิงบริการ ปล่อยกลับบ้าน เรียกก็ไม่มา ที่เหลือเป็นจีนล้วน


แต่ผมนำ “พยานเอก” มา 2 คน เป็นทั้งมือซ้าย มือขวาตู้ห่าว เห็นเงินสดถอน 20-30 ล้าน หรือหลักฐานอื่นๆ อีกมาก หากผมไม่นำมาให้ จะไปเอาที่ไหน? แล้วมันใช่หน้าที่ผมไหม?


พยานไม่มา เพราะบอกไม่ไว้ใจตำรวจ แม้แต่เมียตู้ห่าวยังได้ประกันตัว พรรคพวกตำรวจเขามาก ส่วนจุดรั่วต่างๆ มากมาย เดี๋ยวจะแจงให้ดูเป็นข้อๆ ตอนนี้ลองดูคลิป “แบ่งยา” ก่อน ทั้งตักยาใส่ถุง ชั่งน้ำหนัก เห็นกันจะๆ ไม่เกรงอกเกรงใจ ยังมีเรื่องโกหกอีกมาก ไว้ดูกล้องวงจรปิดดีกว่าครับ

---------------
วานนี้ (5 ม.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองไทย เปิดแถลงข่าวถึงเงื่อนงำ และความผิดพลาดของตำรวจในการทำคดี 'ตู้ห่าว' ก่อนเริ่มการแถลง บริเวณแถลงข่าวได้ปิดไฟลง ก่อนที่นายชูวิทย์จะถือตะเกียงพร้อมสวมแว่นดำ เดินออกมา และบอกว่า


“โอ้โห ประเทศนี้มันช่างมืดมึดอะไรอย่างนี้ ต้องใช้ตะเกียง ต้องใช้แสงสว่าง เพราะว่าเราไม่มีผู้นำ เราไม่มีแสงสว่างให้กับประเทศไทยนี้ เพราะทุกคนมัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครห่วงเรื่องของบ้านเมือง ผมจึงต้องเอาตะเกียงมาฝาก มาฝากแม้กระทั่งผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะว่าท่านมัวแต่ไปร่วมกับพรรคโน้นพรรคนี้ แต่ปัญหาใหญ่ท่านไม่ค่อยสนใจ จึงต้องเอาตะเกียง แสงสว่าง เพื่อให้ท่านได้ส่อง เพราะเป็นผู้นำที่จะต้องนำประเทศนี้ ให้แสงสว่างแต่ปรากฏว่าไม่มี”


พร้อมกันนี้ ยังได้ฝากเทียนไปให้ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ อัยการ เปรียบเป็นการนั่งเทียนเขียนสำนวนคดี โดยให้เหตุผลว่า เพราะนั่งเทียนอยู่ เผื่อเทียนจะหมด เห็นนั่งทำงานดึก ทั้งวันทั้งคืน

------------

การแถลงข่าวครั้งนี้ นายชูวิทย์ ได้นำภาพกล้องวงจรปิดภายในผับจินหลิง ที่พบว่ามีการเปิดให้บริการยาเสพติด และอาคารลีลา ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เปิดลักลอบให้เล่นการพนันคล้ายคาสิโน ซึ่งเป็นช่วงขณะที่ตำรวจนครบาลกำลังเข้าไปตรวจค้น และพบว่าผู้เล่นการพนันกำลังวิ่งหลบหนี และพนักงานขนอุปกรณ์การเล่นพนันออกจากอาคารไปด้านหลัง


ส่วนภายในอาคารจินหลิงผับ ก็มีนักท่องเที่ยววิ่งหลบหนี และยังมีภาพวงจรปิดภายในห้องเก็บของ พบว่าพนักงานได้ใส่สิ่งของคล้ายยาเสพติดลงในตระกร้าเครื่องดื่ม ก่อนจะส่งไปให้ลูกค้าที่อยู่ภายในร้าน

------------

นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงการแถลงข่าวระหว่าง ผบ.ตร. และอัยการที่ทำคดีว่า มีการทำคดีร่วมกันจนสำนวนคดีมีความสมบูรณ์แล้ว แต่นายชูวิทย์ไม่เห็นด้วย


เนื่องจากพบว่ามีพยานหลักฐานบางส่วนที่ไม่นำเข้าสู่สำนวน และเห็นว่าสำนวนคดียังช่วยเหลือนายตู้ห่าว โดยเฉพาะตั้งแต่การเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุแบบเว้นวรรค ไม่เข้าตรวจต่อเนื่อง โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจเข้าตรวจสอบ มีการขยักหลักฐานไม่นำเข้าสำนวน โดยบอกว่ามีหลักฐานเยอะแล้ว ส่วนรถยนต์หรูที่เป็นของกลาง ก็มีการปล่อยกลับไปให้ผู้ต้องหาอีกด้วย


นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อหาการรับผลประโยชน์ของนายตำรวจที่ทำคดี นั่นคือ รอง ผบก.น.6 หรือที่นายชูวิทย์ เรียกว่า 'รองหมา' โดยไม่มีการสอบปากคำหญิงชาวจีนคนหนึ่ง ที่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดใน สน.ยานนาวา ว่านำถุงกระดาษที่ภายในมีเงินสด 6 แสนบาท ไปวางไว้บนโต๊ะ ในห้องรอง ผบก.น.6 เพื่อขอนำรถยนต์หรูยี่ห้อปอร์เช่ ที่ถูกยึดจากจินหลิงผับออกไป ซึ่งนายชูวิทย์ ได้เผยภาพและชื่อของสาวจีนรายนี้ว่าคือ ซ่วยเหลียน ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่ได้สอบปากคำ เพราะต้องการช่วยเหลือกันทางคดี


ขณะเดียวกัน ยังไม่มีการตรวจเลขตัวถังรถยนต์ที่ยึดได้ทั้ง 11 คัน และปล่อยตัวหลานของนายตู้ห่าวออกไปจนหลบหนีออกนอกประเทศ นอกจากนั้น ยังให้นายตำรวจที่คุมสำนวนคดีนี้เป็นตำรวจคนเดียวกับที่ปล่อยตัวผู้ต้องหาไป และหลักฐานที่สำคัญที่สุดคือกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ

------------

นายชูวิทย์ได้นำแผนผังของพื้นที่เกิดเหตุ พบว่าแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ อาคารร้านล้างรถยนต์ อาคารจินหลิง และอาคารลีลา โดยเซิฟเวอร์ที่บันทึกกล้องวงจรปิดแบ่งเป็น 4 ส่วน


โดยส่วนที่เยอะที่สุดคือ อาคารลีลา มีกล้อง 68 ตัว จินหลิง และอาคารล้างรถ ที่ละ 20 ตัว แต่พนักงานสอบสวนได้ส่งให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบมีเพียง 2 เชฟเวอร์ ก่อนที่จะใช้ปากกาขีดออก ทำให้เหลือเพียงแค่ 1 เซิฟเวิอร์ คือที่จินหลิง แต่ก็ตรวจสอบไฟล์ได้เพียงวันที่ 21-26 ตุลาคม และไม่ตรวจสอบเชิฟเวอร์ของอาคารลีลา ที่เปิดให้เล่นการพนัน ซึ่งเห็นว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือกับนายตู้ห่าว ที่ไม่ตั้งข้อหาจัดให้เล่นการพนัน


โดยนายชูวิทย์ ยังระบุว่า มีคลิปวิดีโอวงจรปิดอีกกว่า 1,500 คลิป ที่ยังไม่ได้เปิดเผย และเชื่อว่าตำรวจมีทั้งหมด แต่ไม่นำเข้าสู่สำนวนเอง


นอกจากนั้น ยังพบว่าชะลอการตั้งข้อหาฟอกเงินกับนายตู้ห่าว เพราะเงินในบัญชีเหลือไม่มากเนื่องจากถูกยักย้ายออกไปทั้งหมดแล้ว และออกหมายจับในวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าตรวจค้นเกือบ 1 เดือน


ส่วนการตรวจสอบรถยนต์หรูของนายตู้ห่าว ก็พบว่าเป็นรถเช่าจากบริษัทหนึ่งที่นายชูวิทย์ อ้างว่ามีหลานของนักการเมืองเป็นเจ้าของบริษัท และตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดนายตู้ห่าวขับรถยนต์หรูจำนวนมาก แต่ไม่มีเงินไปจ่ายให้กับผู้รับเหมาที่ติดค้างอยู่จำนวนมาก


ส่วนข้อมูลทั้งหมดที่นายชูวิทย์ได้มา เชื่อว่าตำรวจมีทั้งหมดแล้ว แต่ไม่นำเข้าสู่สำนวน โดยไม่ทราบว่าเหตุใดถึงไม่นำเข้า และข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด เป็นข้อมูลของตำรวจและเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหลังจากนี้จะติดตามคดีนี้จนถึงกระบวนการในชั้นศาลว่าผลตัดสินจะออกมาอย่างไร
------------

ส่วนประเด็นที่ ผบ.ตร. ออกมาระบุว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบ ผบช.น. สำหรับการทำงานคดีตู้ห่าว


นายชูวิทย์ กล่าวว่า หากตั้งคณะกรรมการสอบกันเอง มองว่าไม่ได้ประโยชน์หรอกเพราะว่า “เสือมันไม่กินเนื้อเสือ”


ส่วนการที่ตั้งจเรตำรวจแห่งชาติมาสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีดังกล่าว หากทางจเรตำรวจประสงค์จะให้ตนเข้าไปให้ข้อมูล ตนไม่ยินดีจะเข้าไปให้ข้อมูลดังกล่าว เพราะเชื่อว่าจเรตำรวจมีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในมือแล้ว และเชื่อว่าการตั้งกรรมการสอบสวนของจเรตำรวจจะสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อเอาผิดได้

------------

ทั้งนี้ หากให้นายชูวิทย์ประเมินผลงานค่า KPI ของ ผบช.น. / ป.ป.ส. และ อัยการฯ คะแนนเต็ม 10 คะแนน


ให้คะแนนผบช.น. 0 คะแนน และระบุว่าจริงๆจะให้คะแนนติดลบด้วยซ้ำ


ส่วนอัยการ ให้ 5 คะแนน 


ป.ป.ส. เนื่องจากว่าตามอายัดทรัพย์สินได้ ให้ 9 คะแนน


เมื่อถามว่าแล้วให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ นายชูวิทย์ บอกว่า ไม่ให้คะแนนตัวเอง ต้องให้สังคมเป็นคนให้

------------

นายชูวิทย์ ยังระบุว่า ตอนนี้จะผลักดันให้เรื่องนี้ ถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ แบบไม่ลงคะแนน ครั้งสุดท้าย


ซึ่งตอนนี้อาจจะมีพรรคการเมืองมาขอข้อมูลกับตนแล้วหรือไม่ก็ได้ แต่ตนอยากตั้งคำถามว่า ตั้งแต่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมา ไม่มีนักการเมืองคนใดออกมาพูดแม้แต่คนเดียว ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน


ขณะเดียวกัน หากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯค รั้งสุดท้ายครั้งนี้ ไม่มีพรรคการเมืองใดอภิปรายเรื่องนี้เลย จะเดินหน้าอย่างไรนั้น นายชูวิทย์ บอกว่า “ผมจะทำอะไรได้ คงทำได้แค่โน้ตไว้ในบัญชีหนังหมา สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า”


ขณะเดียวกัน นายชูวิทย์ ยังยืนยันว่าการนำข้อมูลของทุนจีนสีเทาออกมาเปิดเผยเหล่านี้ จะไม่เป็นการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง


ส่วนกรณีที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้มาทาบทามให้เข้าร่วมในพรรค และจะให้มาร่วมเปิดโปงขบวนการนี้ต่อ นายชูวิทย์ยืนยันอีกว่าจะขอทำหน้าที่การตรวจสอบของภาคประชาชน เพราะหากภาคประชาชนไม่เข้มแข็ง ก็จะทำให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้ และยืนยันว่า ไม่ใจอ่อนที่จะเล่นการเมือง เพราะได้ประกาศไปตั้งแต่ปี 2560 แล้ว

------------

คุณอาจสนใจ

Related News