อาชญากรรม
ล่าตัว 'จ่าเบิร์ด' ยิงอริตายในผับ ก่อนขโมยเสื้อเกราะ-ปืนหลวงหลบหนี 'บิ๊กโจ๊ก' ลั่น! วันนี้ต้องได้ตัว
โดย nattachat_c
26 ต.ค. 2565
47 views
ตำรวจระดมทีมไล่ล่า ‘จ่าเบิร์ด ตำรวจหน่วยสวาท’ รัวยิงคู่อริในผับ ตาย 1 บาดเจ็บ 2 ก่อเหตุเสร็จบุกขโมยปืนยาว พร้อมเสื้อเกราะหลวงหลบหนี ตำรวจประสานภรรยา และแม่ มาเกลี้ยกล่อมให้มอบตัว หวั่นคิดสั้น ด้านบิ๊กโจ๊ก ลั่นต้องได้ตัวจ่าเบิร์ดภายในวันนี้
จากกรณี จ.ส.ต.ชุติพนธ์ นาคแก้ว (จ่าเบิร์ด) ตำแหน่ง ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.บ้านหนองเอื้อง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ปฎิบัติหน้าที่ช่วยราชการชุดปฏิบัติการพิเศษศรีตรัง (S.W.A.T) ภ.จว.ตรัง ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงใส่นายจิตกร อายุ 32 ปี จำนวน 9 นัด เสียชีวิตกลางผับดัง ซึ่งผู้ตายนอกจากจะเป็นคนสนิทนักการเมืองท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของ จ.ตรัง ด้วย
นอกจากนี้ ผู้ก่อเหตุยังยิงปืนไปถูกนายเอกพจน์ อายุ 34 ปี เพื่อนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บอีก 1 ราย และยังมีนักเที่ยวถูกลูกหลงเจ็บอีก 1 ราย หลังเกิดเขม่นไม่พอใจกัน เหตุเกิดภายในสถานบันเทิง ‘คันทรี่โฮม’ อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดอาวุธ เหตุเกิดเวลาประมาณ 01.13 น. วันที่ 25 ต.ค 65
ต่อมาเมื่อเวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่กำลังชุดปฏิบัติการพิเศษศรีตรัง กำลังชุดสืบสวน ทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 50 นาย ได้ทำการปิดล้อม ห้องทำงานของหน่วยสวาทฯ ซึ่งอยู่ภายในรั้วด้านหลังกองบังคับการตำรวจภูธร จ.ตรัง
หลังมีเบาะแสว่า จ.ส.ต.ชุติพนธ์ หรือจ่าเบิร์ด หลังจากก่อเหตุได้หลบหนี เข้ามาเอาอาวุธปืนยาว เอ็มโฟร์ (m4) และเสื้อเกาะของทางราชการ ซึ่งในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดล้อมห้องทำงานของหน่วยสวาทฯ พร้อมทั้งเดินเท้าลาดตระเวนรอบบริเวณ
ขณะเดียวกัน ได้มีการจัดแบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ลงพื้นที่ไปยังบ้านของคนสนิท และบ้านของผู้ก่อเหตุเอง ที่คาดว่าผู้ก่อเหตุจะหลบหนีไปกบดานแต่ยังไร้วี่แวว
ด้าน พ.ต.อ เชื้อชาติ เยาดำ ผู้กำกับการ สภ.เมืองตรังกล่าวว่า ความคืบหน้าล่าสุด ผู้ต้องหายังหลบหนี ซึ่งได้ติดต่อทางแม่และภรรยาของผู้ก่อเหตุมาเพื่อเจรจา แต่ผู้ต้องหายังไม่ประสานขอมอบตัวและต้องขออำนาจศาลออกหมายจับ เบื้องต้นตั้ง 3 ข้อหา คือ
1. ฆ่าผู้อื่น
2. พยายามฆ่า
3. มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนเพื่อพกพา
ส่วนเรื่องของการพกพาอาวุธปืนในสถานบันเทิง ก็มีการกำชับกันอยู่แล้ว ในที่เกิดเหตุเป็นอาวุธปืนที่ผู้ก่อเหตุซื้อจากสวัสดิการด้วยเงินส่วนตัว สามารถยึดอาวุธปืนประจำตัวของผู้ต้องหาเอาไว้ได้
ส่วนนิสัยของผู้ต้องหา เบื้องต้นทราบว่า มีความประพฤติดี เป็นหัวหน้าชุดปฎิบัติการ อยู่ สภ.บ้านหนองเอื้อง อ.ปะเหลียนไม่ได้อยู่ สภ.เมืองตรัง เท่าที่ทราบผู้ต้องหาเคยเป็นการ์ดอยู่ในสถานบันเทิงดังกล่าวด้วย
ซึ่งคดีนี้ไม่มีความซับซ้อนอะไร มีพยานบุคคล มีอาวุธปืนเป็นวัตถุพยาน ก็จะรวบรวมพยานหลักฐานและให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
ส่วนมูลเหตุจูงใจคือกระทบกระทั่งกันในที่เกิดเหตุ ซึ่งอาการของผู้บาดเจ็บ 2 รายปลอดภัยแล้ว ซึ่งสอบถามพยานบุคคล ยังไม่ปรากฏว่ามีการถีบโต๊ะเก้าอี้ใส่กัน น่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดเหตุขึ้นอย่างกะทันหัน
ส่วนการป้องกันการฆ่าตัวตายของผู้ก่อเหตุ ขณะนี้ได้เอาพ่อแม่ และลูกเมีย และผู้บังคับบัญชาที่ผู้ต้องหาให้ความเคารพนับถือมาเพื่อเจรจาให้ติดต่อขอเข้ามอบตัว รวมทั้งเพื่อนสนิทของผู้ต้องหาไปติดตาม ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปไหน
ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. พล.ต.ต เชาวลิต เลี้ยงสุพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ตรังพร้อมรองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ตรังและผู้กำกับการ สภ.เมืองตรัง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง โดยมีนางวรรณา อินฤทธิ์ หรือเอียด อายุ 57 ปี กับนายสมจิตร คงปรือ อายุ 58 ปี สองสามีภรรยาที่เป็นหุ้นส่วน 'คันทรี่โฮม' ผับดังใจกลางเมืองตรัง เข้าร่วมตรวจสอบด้วย โดยในที่เกิดเหตุยังพบกองเลือดนองพื้น และพบรองเท้าของผู้บาดเจ็บตกอยู่
โดยพล.ต.ต เชาวลิต ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ตรัง กล่าวว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุและรูปคดีเป็นการกระทำผิดส่วนตัว ซึ่งก็ดำเนินคดีไปตามหลักกฎหมายอยู่แล้ว และให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย
เบื้องต้นทางวินัยได้สั่งไล่ออกไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากมีความผิดทางอาญา ซึ่งยืนยันว่าที่ผ่านมาจ่าเบิร์ดเป็นคนเรียบร้อยและใจเย็น สามารถคุมลูกน้องได้ดี ส่วนปมสาเหตุยังคงเป็นเรื่องของการเขม่นกันในร้าน แต่ยังคงไม่ตัดประเด็นชู้สาว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขออำนาจศาลออกหมายจับแล้ว
ด้านนางวรรณา อินฤทธิ์ อายุ 57 ปี หุ้นส่วนคันทรี่โฮม กล่าวว่า ปกติมีการตรวจอาวุธก่อนเข้าร้านทุกคน มีกล้องวงจรปิดทุกจุด และมีการ์ดอยู่หน้าร้าน ซึ่งตำรวจที่ก่อเหตุเป็นการ์ดเก่าที่ทำงานอยู่ที่ร้าน น้องนิสัยดีมาก แต่เคยบอกกับตนว่า เขาเหนื่อยกับการเป็นทำงาน จึงขอพักงานการ์ด
ส่วนความรู้สึกหลังเกิดเหตุคือเสียใจมาก เพราะ
1.ไม่ใช่เป็นความผิดของร้าน
2. คือหลังจากนี้จะไปทางไหนต่อที่มีลูกน้องต้องดูแลอีกหลายสิบชีวิตนับจากนี้
รู้สึกเสียใจมากที่เจ้าหน้าที่มาก่อเหตุเช่นนี้เสียเอง และอยากจะให้ทางราชการพิจารณาอย่าสั่งปิดร้าน เพราะร้านเพิ่งพ้นเพิ่งฟื้นจากโควิด หากปิด พนักงานกว่า 10 ชีวิต รวมทั้งครอบครัวของเขาด้วยจะอยู่กันยังไง จึงอยากให้ทบทวนด้วย เพราะข้าราชการตำรวจเป็นผู้ก่อเหตุเอง
ขณะที่พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินการทางคดี พร้อมกันนี้ ยังสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาโดยตรง ตรวจสอบว่า เหตุใดตำรวจคนดังกล่าวจึงนำปืนของราชการไปใช้ในการก่อเหตุ เนื่องจากส่วนงานของผู้ก่อเหตุไม่มีความจำเป็นต้องใช้อาวุธปืน รวมถึงในช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงเวลานอกราชการ ซึ่งได้กำชับในประเด็นนี้ให้เร่งดำเนินการ
ซึ่งหากพบว่ามีความบกพร่องของทางผู้บังคับบัญชาร่วมด้วย ก็จะสั่งให้ลงโทษทางวินัยตามสายบังคับบัญชา ยอมรับว่าจากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่มีตำรวจเป็นผู้ก่อเหตุจากทั้งในจังหวัด หนองบัวลำภู และมาล่าสุดที่จังหวัดตรัง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งตนเอง จะกำชับทุกหน่วยในการประชุมบริหารที่จะถึงนี้ พร้อมกันนี้จะนำบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวมาปรับใช้ เพื่อไม่ให้มีข้าราชการตำรวจก่อเหตุขึ้นอีก
-------------
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/lItAkeEMTLI