อาชญากรรม

เร่งล่ามือฆ่าโหด สามีภรรยาคนไทย พร้อมลูกแฝด หมกท้ายรถที่ไต้หวัน ก่อนหนีกลับไทย

โดย thichaphat_d

13 มิ.ย. 2565

474 views

ฆาตกรรมโหด 2 สามี-ภรรยาชาวไทย พร้อมลูกฝาแฝด 5 เดือนในท้อง ที่ไต้หวัน ซุกศพในรถหรู ก่อนนำไปจอดทิ้งไว้ใกล้กับสถานีรถไฟ ผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนสนิท คาดขัดแย้งธุรกิจ ล่าสุดหนีกลับไทยแล้ว ตำรวจไทยเร่งหาเบาะแส หลังทางการไต้หวันประสานขอความร่วมมือ ขณะที่พ่อฝ่ายชาย รู้ข่าวสุดช็อก เผยลูกชายเตรียมวางแผนกลับมาเที่ยวไทย สัปดาห์นี้ วอนทางการไทยช่วยจับคนร้าย เพราะพฤติกรรมโหดร้ายเกินไป


สถานีวิทยุแห่งชาติไต้หวัน รายงานเหตุคดีฆาตรกรรมคนไทยสองสามีภรรยา ที่ถูกคนไทยด้วยกันฆ่า โดยฝ่ายภรรยากำลังตั้งครรภ์ลูกแฝดได้ 5 เดือน สาเหตุจากปมขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนสนิทและเป็นหุ้นส่วนบริษัทของสองสามีภรรยา หลังฆาตกรรมทั้งสองคนแล้ว ก็นำศพยัดใส่รถ BMW สีขาว แล้วนำไปจอดทิ้งไว้ที่หน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน จนกระทั่งศพโชยกลิ่นออกมา ประชาชนจึงแจ้งไปที่ตำรวจ


ช่วงเช้าวันที่ 10 มิ.ย. ตำรวจเถาหยวน จึงมาตรวจสอบรถคันดังกล่าว พบว่ามีน้ำเหลืองไหลออกมาจากท้ายรถ จึงเปิดรถออกตรวจสอบ พบศพสองสามีภรรยาถูกคลุมด้วยถุงพลาสติก สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน ตามศีรษะและร่างกาย ถูกตีด้วยของแข็ง คาดว่าถูกทำร้ายจนเสียชีวิตที่อื่น แล้วคนร้ายนำศพยัดใส่ท้ายรถมาจอดทิ้งไว้



จากการตรวจสอบของตำรวจไต้หวัน พบว่า ฝ่ายหญิงเป็นชาวไทยแต่มีสัญชาติไต้หวัน ทำงานเป็นล่ามมาก่อน โดยรู้จักกันในชื่อ "ล่ามมี่" ขณะที่ถูกฆาตกรรม กำลังตั้งครรภ์ 5 เดือน เป็นลูกแฝดชายหญิง  ส่วนสามีเป็นคนไทย มาจากจังหวัดอุบลราชธานี เดินทางเข้าไต้หวันพร้อมกับญาติเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และได้บัตรพำนักในไต้หวัน ทั้งสองสามีภรรยาใช้ "แซ่หลี่"



ส่วนผู้ก่อเหตุ เป็นชายชาวไทยที่ได้รับสัญชาติไต้หวัน ใช้ "แซ่หวัง" จากรายงานของตำรวจไต้หวัน พบว่า ฝ่ายหญิงรู้จักคุ้นเคยกับผู้ก่อเหตุอย่างดี เพราะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมา จากนั้นผู้ก่อเหตุมาทำงานในไต้หวันเป็นผู้ดูแลหอพักคนงานก่อสร้าง ในนิวไทเป ก่อนจะร่วมกับสองสามีภรรยาจัดตั้งบริษัทจัดหาแรงงานต่างชาติ และผู้ก่อเหตุมักจะขอยืมเงินสองสามีภรรยา ไปปล่อยกู้ให้กับแรงงานไทยอีกต่อ



สื่อท้องถิ่นไต้หวันรายงานว่า ในวันที่ 8 มิ.ย. ทั้งสามคนมีนัดพบกันที่เมืองนิวไทเป โดยมีกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ หลังจากนั้น ในวันที่ 9 มิ.ย. ก็พบว่า ผู้ก่อเหตุขับรถเก๋งของสองสามีภรรยา มาทิ้งไว้ที่ลานจอดรถของสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน ก่อนจะหลบหนีไป ทำให้ตำรวจสันนิษฐานว่า การฆาตกรรมน่าจะเกิดที่เมืองนิวไทเป จากสาเหตุความขัดแย้งด้านการเงินและธุรกิจ รวมทั้งน่าจะเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า


ซึ่งจากการตรวจสอบของตำรวจไต้หวัน พบว่า ในวันที่ 9 มิ.ย. หลังจากเอาศพไปทิ้งไว้พร้อมกับรถ ผู้ก่อเหตุก็หลบหนีกลับประเทศไทยทันที โดยเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน สายการบินสตาร์ลักซ์ เที่ยวบินที่ JX741 เวลา 10.40 น. และถึงไทยเมืองเวลาประมาณ 13.30 น.


สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ทางการไต้หวันกำลังจะประสานทางการไทย ให้ช่วยเหลือติดตามตัวผู้ต้องหารายนี้ กลับไปดำเนินคดีที่ไต้หวัน เนื่องจากผู้ต้องหาถือสัญชาติไต้หวัน


พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จึงสั่งให้กองปราบปรามจัดกำลังสืบสวนเรื่องนี้และให้ประสานขอข้อมูลต่างๆ จากตำรวจไต้หวัน โดย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลว่า ผู้ต้องหาเดินทางกลับประเทศไทยในช่องทางใด และเมื่อไหร่ หากพบข้อมูลก็ยินดีให้ความร่วมมือกับทางการไต้หวัน


ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปพูดคุยกับนายธีรศักดิ์ โนราษ พ่อของนายประเสริฐ โนราษ หรือมาส อายุ 32 ปี ที่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตพร้อมภรรยาที่ไต้หวัน เล่าว่า พ่อเพิ่งทราบข่าวเมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยพี่สาวของลูกสะใภ้โทรมาแจ้งข่าวจากไต้หวัน


พ่อเล่าว่า ลูกชายไปทำงานที่ไต้หวันหลายปีแล้ว จนได้ภรรยาสาวชาวไทยสัญชาติไต้หวัน และจดทะเบียนอยู่กินด้วยกันที่ไต้หวัน ต่อมาทั้งคู่ทำธุรกิจข้าวกล่องส่งแรงงานไทยตามโรงงาน รวมทั้งสั่งผลไม้กับลอตเตอรี่จากประเทศไทย ไปขายให้แรงงานไทยในไต้หวัน จนพอมีฐานะ สามารถส่งเงินมาเลี้ยงดูพ่อและพี่น้อง ก่อนจะถูกฆาตกรรม


ในวันที่ 8 มิ.ย. พ่อเพิ่งจะโทรศัพท์คุยกับลูกชาย ซึ่งลูกบอกว่า จะพาภรรยากลับมาเที่ยวเมืองไทย ในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ และจะพาพ่อกับครอบครัวไปเที่ยวทะเลด้วย ไม่คาดคิดว่าจะได้ทราบข่าวร้ายว่าลูกชายถูกฆาตกรรมพร้อมกับภรรยาและหลานแฝดที่ยังอยู่ในท้อง พ่อบอกว่า หลังจากนี้คงต้องติดตามเรื่องการจับกุมคนร้าย ที่ทราบว่าหลบหนีเข้าประเทศไทย และอยากให้ตำรวจจับกุมฆาตกรรายนี้ให้ได้ เพราะพฤติกรรมโหดเหี้ยมมาก


ส่วนเรื่องจัดการศพ ได้ขอให้พี่สาวของลูกสะใภ้ ช่วยจัดการฌาปนกิจที่ไต้หวัน แล้วส่งกระดูกกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด เพราะครอบครัวทางนี้ไม่สามารถเดินทางไปไต้หวันได้ เพราะติดปัญหาการระบาดของโควิด-19 จึงได้แต่ส่งเอกสารต่างๆ ให้ฝ่ายญาติของลูกสะใภ้ช่วยดำเนินการแทน

คุณอาจสนใจ

Related News