อาชญากรรม
เจ้าของร้านเสริมสวย ถูกแก๊งมิจฉาชีพ 5 คนหลอก ชวนเป็นนายหน้าขายที่สูญ 6 หมื่น
โดย olan_l
18 ก.ย. 2567
170 views
มิจฉาชีพหลอก เจ้าของร้านเสริมสวย ทำทีมาเป็นลูกค้า หลอกชวนลงทุนเป็นนายหน้าขายที่ ก่อนเอาเงินล้านมาโชว์ สุดท้ายถอดทองที่ใส่ให้ถูกเชิดหนี
ภาพจากกล้องวงจรปิดและเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ น.ส.จุฬา อายุ 58 ปี เจ้าของร้านเสริมสวย ขอมาได้จากร้านข้างๆ โดยภายในภาพบรรทุกเหตุการณ์ที่น.ส.จุฬา กำลังขึ้นรถเก๋ง นิสสัน เทียร์น่า สีดำ ออกไปจากร้าน เพื่อไปถอนเงินที่ธนาคาร โดยมิจฉาชีพระมัดระวังตัวไม่ยอมลงจากรถ ออกอุบายเป็นนายหน้าขายที่ ให้น.ส.จุฬา นำสร้อยคอ ที่ใส่อยู่และสร้อยข้อมือ แหวน ที่เก็บไว้ นำหนักรวมกว่า 1 บาท 50 สตางค์ ให้คนร้ายไป ก่อนจะเข้าไปเบิกเงินสดในธนาคาร หวังจะนำมาให้คนร้ายเพื่อรวมกันไถ่ถอนที่ พอน.ส.จุฬา เข้าธนาคารไป กลุ่มคนร้ายก็ขับรถหลบหนีไปอย่างลอยนวล
โดยวันนี้ ( 18 ก.ย. 67 ) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปหา น.ส.จุฬา ผู้เสียหาย ที่ร้านเสริมสวยจุฬา ริมถนนศุขประยูร ต.หน้าเมือง อ.เมืองฉะเชิงเทรา โดยน.ส.จุฬา เปิดเผยว่า เรื่องเริ่มต้นจากที่มีลูกค้า เป็นชาย อายุ ประมาณ 60 ปี เข้ามาตัดผมที่ร้าน ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่งตัวดูดีมีฐานะ ใส่ทองเส้นใหญ่เต็มตัว แต่ตนเองก็มองดูว่าทองคำสีแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าทักลูกค้า กระทั่งหลังๆ ลูกค้าชายรายนี้ ก็พาภรรยา อายุ 58 ปี มานั่งรอที่ร้านด้วย มีการพูดคุยซักถามตน ซึ่งสองผัวเมียจะใส่ทองเส้นใหญ่ๆ ทั้งข้อมือและคอ
ตนเองจึงสอบถามว่าสองคนทำงานอะไร จนมาทราบว่า ทั้งสองปล่อยเงินกู้ โดยคนร้ายบอกว่าต้องการหาซื้อที่ดิน ให้กับคนรู้จัก ตนเองก็บอกพอรู้จักคนที่จะขายที่อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีการสานต่อเรื่องซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด หลังตัดผมเสร็จสองผัวเมียก็กลับบ้านไป กระทั่งวันที่ 12 กันยายน สองสามีขับรถมาจอดหน้าร้าน โดยไม่ยอมลงจากรถควักมือเรียกตน บอกว่าจะขอไปดูที่ แต่ตนเองติดลูกค้าในร้านจึงไม่สามารถพาไปได้ จนมาถึงวันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมา หญิงวัย 58 ได้โทรศัพท์มาหาตน ถามว่าร้านเปิดหรือเปล่าจะเข้ามาทำเล็บ ซึ่งตนเองก็บอกว่าเปิด ไม่ได้นานนักมิจฉาชีพโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง บอกว่าจะขอไปดูที่ดินก่อน ก่อนจะเข้ามาทำเล็บ โดยนัดเจอกันที่ห้างตะวันออกคอมเพล็กซ์ ตนเองจึงปิดร้านและไปหามิจฉาชีพตามที่นัดหมาย พอไปถึงที่ห้างตะวันออกคอมเพล็กซ์ มิจฉาชีพมากับหลานสาว อายุประมาณ 38 ปี บอกว่าหลานจะมาขับรถให้ เพราะวันนี้หลานว่างไม่ได้ไปร้านขายโทรศัพท์จึงมาขับรถให้ ซึ่งตนเองก็พาไปดูที่ดินแถวตำบลดอนทราย อำเภอบ้านโพธิ์ ซึ่งเป็นที่ดินของพี่เขยของตนเอง โดยมิจฉาชีพบอกชอบที่ดินผืนนี้ และจะทำการซื้อที่ดินแปลงนี้
แต่ระหว่างนั้นมิจาชีพได้ชวนตนไปดูที่ดินอีกแปลงแถววัดราษฏร์บํารุงวนาราม (วัดเกาะ) ต.บางเตย อ.เมืองฉะเชิงเทรา โดยบอกว่าที่ดินนี้สวย มีนายทุนจะซื้อชวนให้ตนเองนั่งรถไปเฉยๆ จะให้ค่าเสียเวลาที่ต้องปิดร้าน 1,000- 2,000 บาท ตนเองจึงนั่งรถไปเป็นเพื่อน เมื่อไปถึงพบกับมิจฉาชีพอีกคน ซึ่งคนร้ายเรียกมิจฉาชีพคนนี้ว่า ลุงหมาน อายุประมาณ 50 ปี ยืนรออยู่หน้าวัด โดยมิจฉาชีพมีการพูดคุยกับนายหมาน ว่าต้องการซื้อที่ดิน โดยนายหมาน เสนอขายไร่ละ 3 ล้านบาท แต่ตอนนี้ยอมตัดใจขายในราคาไร่ละ 2 ล้าน 7 แสนบาท เพราะต้องการรีบขายเอาเงินไปรักษาเมียที่ป่วยเป็นมะเร็ง
จากนั้นหญิงมิจฉาชีพ ก็พานายหมานขึ้นรถไปด้วย เพื่อไปดูที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก แต่ดูที่ซึ่งเป็นท้องนาภายในรถ โดยไม่ได้จอดรถเพื่อลงไปดู โดยนายหมาน บอกว่าดูในรถก็พอ เพราะต้องรีบไปรับ คนที่ทำงาน อบต.อีก 2 ราย ที่นัดจะเข้ามาดูที่วันนี้ หลังดูที่เสร็จจึงพานายหมานกับมาส่งหน้าวัด
จากนั้นมิจฉาชีพก็ให้หลานสาวขับรถออกไป ส่วนมิจฉาชีพก็โทรหานายทุน บอกว่าเจอที่ดินสวยแล้ว เจ้าของขายในราคา 3 ล้านบาท ซึ่งมีการนัดให้นายทุนมาหา ไม่ไกลจากที่ดินที่ไปดู ระหว่างที่รอนั้น หญิงมิจฉาชีพก็พูดจูงใจ ว่าวันนี้เราโชคดีจับขายที่ได้เร็ว หากนายทุนเอา เราก็จะได้ค่านายหน้า 3 แสนบาท เพราะนายหมานเจ้าของที่ขายเพียง 2.7 ล้าน พร้อมกับบอกว่าหากขายได้ จะให้ตนเอง 1 แสนบาท เพราะมาด้วยกัน ไม่นานนัก นายทุนคนดังกล่าวก็มา แต่งตัวภูมิฐาน อายุประมาณ 60 ปี ใส่หมวกและแว่นตาสีดำ ใส่ทองคำเส้นใหญ่ๆ ทั้งคอและข้อมือ โดยหญิงมิจฉาชีพเรียกนายทุนว่า อาเจ๊ก หลังมีการพูดคุยกันในรถ อาเจ๊กบอกสนใจที่ดังกล่าว แต่ขอให้ไปต่อเจ้าของที่ให้เหลือไร่ละ 2.9 ล้าน ซึ่งหญิงมิจฉาชีพมองมาที่ตนและถามว่าเอาอย่างไรดี ตนเองคิดในใจว่าได้ค่านายหน้า 2 แสนแล้ว แบ่งกัน 3 คนก็ยังเหลือเยอะอยู่ จึงบอกรับปากอาเจ๊กไปว่า เดี๋ยวไปพูดต่อราคาให้
จากนั้นอาเจ๊กลงไปจากรถ ไปหยิบเงินที่อยู่ในซองสีน้ำตาลในรถของตนเอง แล้วนำเงินสดมาโชว์จำนวน 1 ปึก ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้ใส่แว่นตา เพียงแต่สังเกตว่าแบงค์มีความเรียมผิดปกติ ก่อนมิจฉาชีพจะนำเงินเก็บใส่ซองน้ำตาลไป โดยบอกว่านี่เป็นเงินมัดจำ 1 ล้านบาท ให้ไปมัดจำนายหมานไว้ แล้ววันศุกร์ที่จะถึงนี้ ทำเรื่องซื้อขายโอนที่ จะจ่ายในส่วนที่เหลือทั้งหมด จากนั้นอาเจ๊กก็รีบลงรถไป บอกต้องไปทำธุระต่อ ซึ่งหญิงมิจฉาชีพบอกให้หลานสาวขับรถไปหานายหมาน ที่รออยู่หน้าวัด เมื่อเจอนายหมานก็มีการพูดจาตกลงซื้อที่ดินแปลงนี้กัน แต่นายหมานกับบอกว่า ที่ดินที่จะขายติดจำนองอยู่ที่ธนาคาร จำนวน 3 ล้านบาท ต้องไปไถ่ถอนออกมาก่อน
คราวนี้หญิงมิจฉาชีพหันมาถามตนเองว่าเราเป็นนายหน้าด้วยกันแล้ว คงต้องรวมเงินกันไปไถ่ที่ของนายหมานออกมาก่อน โดยหลานสาวของมิจฉาชีพบอกว่าตอนนี้ตนเองมีเงินประมาณ 7-8 แสนบาทเพียงเท่านั้นเพราะเพิ่งลงโทรศัพท์ที่ร้านหมด ส่วนหญิงมิจฉาชีพก็บอกว่าจะเอาทองที่ใส่ไปจำนำ ก็ยังคงขาดอีกเงินอีก จึงหันมาถามตนเองว่า มีทรัพย์สินอะไรบ้าง ตนเองจึงบอกไปว่ามีเพียงทองคำน้ำหนักประมาณ 1 บาท 50 สตางค์ และเงินสดอีกประมาณ 20,000 บาท เพราะเงินที่เหลือเพิ่งจะตัดสดรถยนต์ให้ลูกสาวไป มิจฉาชีพจึงออกอุบายพาตนเองกลับมาที่ร้านให้มาเอาทองที่เก็บไว้ เมื่อตนเองเอาทองที่ร้านแล้ว จึงขึ้นรถ(ภาพวงจรปิด) เพื่อไปธนาคาร ธกส. สาขาฉะเชิงเทรา เพื่อเบิกเงินสด จำนวน 20,000 บาท
แต่ระหว่างนั่งในรถมิจฉาชีพก็ให้ตนเองเอาทอง มาร่วมกับของมิจฉาชีพ บอกว่าเดี๋ยวเอาไปจำนำพร้อมกัน ตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้คิดอะไร พอลงจากรถเข้าไปธนาคารกดบัตรคิวแล้ว เห็นว่ามีคนรอคิวจำนวนมาก จึงโทรศัพท์หามิจฉาชีพ ซึ่งยังโทรศัพท์ติดต่อได้และนั่งรออยู่ในรถหน้าธนาคาร ตนเองจึงเดินออกมาหาและบอกว่า ต้องรอนานเพราะคิวนานมาก แต่หญิงมิจฉาชีพบอกให้ตนเองเข้าไปเบิกเงินให้สำเร็จ เพราะเราต้องรวบรวมเงินไปไถ่ที่ดินของนายหมานออกมา
ตนเองจึงเดินเข้าไปในธนาคารอีกครั้ง แต่ระหว่างที่นั่งรอ ใจก็เอะคิดขึ้นมาว่า มันคล้ายกับเหตุการณ์ที่ตนเองเคยโดนหลอก สมัยยังอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งตอนนั้นเสียทองคำน้ำหนัก 5 บาทใบ จึงรีบเดินออกมาเพื่อจะเอาทองไว้ที่ตัวเองก่อน แต่พอเดินออกไปกลับไม่พบรถของมิจฉาชีพแล้ว จึงถาม รปภ.ด้านหน้าทราบว่า หลังจากที่ตนเองเดินเข้าไป รถเก๋งของมิจฉาชีพก็ขับออกไปเลย จึงเดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ติดตามกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้มาดำเนินคดี
แท็กที่เกี่ยวข้อง มิจฉาชีพ ,ร้านเสริมสวย ,นายหน้า