อาชญากรรม
บุกจับคู่รักแก๊งคอลฯ เช่าบ้านเอื้ออาทร ซุกเครื่องซิมบ็อก แปลงเบอร์โทรหลอกเหยื่อ 3.6 ล้านครั้ง
โดย nut_p
8 ก.ค. 2567
446 views
ตำรวจภูธรภาค 5 ทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ จับคู่รักวัยรุ่นเช่าห้องโครงการเอื้ออาทรซุกเครื่องซิมบ็อก 12 เครื่อง ใช้แปลงเบอร์โทรศัพท์หลอกเหยื่อทั่วประเทศ เผย 1 เครื่องใช้โทรหลอกเหยื่อไปแล้วกว่า 3.6 ล้านครั้ง
พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นำกำลังชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 5 บุกทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3 จุดพร้อมกันที่โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ , โครงการบ้านเอื้ออาทรป่าตัน ต.ป่าตัน อ.เมืองเชียงใหม่ และ โครงการบ้านเอื้ออาทรสันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ หลังสืบทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เช่าห้องไว้เป็นสถานที่ติดตั้งอุปกรณ์ไอทีที่ใช้สำหรับการโทรศัพท์หลอกลวงประชาชน
โดยที่ห้องพักบนชั้น 4 อาคาร 1 โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่พบเครื่อง GSM Gateways หรือ ซิมบ็อก ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับแปลงสัญญาณการโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เนตให้เป็นเบอร์โทรศัพท์ภายในประเทศ จำนวน 4 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์จ่ายไฟ ซึ่งทั้งหมดยังเปิดใช้งานอยู่ ส่วนที่บ้านเอื้ออาทรอีก 2 จุดพบเครื่องซิมบ็อกอีกห้องละ 4 เครื่อง รวมทั้งหมด 12 เครื่อง โดยเจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ต้องหาคู่รักชายอายุ 21 และ หญิง อายุ 25 ปี ที่เป็นคนเช่าห้องทั้ง 3 ห้องสอบสวนเบื้องต้นทั้งสองสารภาพว่าเป็นผู้เช่าห้องพักทั้ง 3 จุด และ เป็นคนคอยเฝ้าดูแลอุปกรณ์ทั้งหมด ได้ค่าจ้างจุดละ 8,000 ต่อเดือน แต่อ้างว่าไม่ทราบว่าอุปกรณ์ทั้งหมดคืออะไร สาเหตุที่ทำเพราะรายได้ดี
ด้านพล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า สืบสวนภาค 5 ใช้อุปกรณ์พิเศษแกะรอยคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้มาได้ระยะหนึ่ง ทราบว่ามีฐานอยู่ประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดย แก๊งโดยจะโทรผ่านระบบอินเทอร์เน็ตส่งสัญญาณผ่านเครื่องซิมบ็อกที่ติดตั้งไว้เพื่อแปลงสัญญาณให้เป็นเบอร์โทรศัพท์ในประเทศใช้ในการหลอกลวง ให้เหยื่อเข้าใจว่าเป็นสายโทรจากหน่วยงานรัฐภายในประเทศ โดยเครื่องซิมบ็อก 1 เครื่อง ใส่ได้ 32 ซิมการ์ด สามารถใช้หลอกลวงประชาชนได้ถึง 300,000 ครั้งต่อเดือน หากรวมกันเฉพาะ 12 เครื่องที่ยึดได้ในวันนี้จะพบว่ามีเบอร์หลอกลวงโทรศัพท์ผ่านเครื่องทั้งหมดนี้ไปแล้วกว่า 3.6 ล้านครั้ง
สำหรับผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้เบื้องต้นจะถูกแจ้งข้อหาตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเพื่อส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม , นำสิ่งของต้องห้ามต้องจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลจับกุมเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม