อาชญากรรม
เตือนภัยแก๊งคอลเซนเตอร์ 'ลูกน้าติง' เสียท่าโดนหลอกหมดตัว ยืมพ่อโอนให้อีก 4 แสน
โดย paweena_c
5 ก.ค. 2567
1.1K views
เผยกลโกงแก๊งคอลเซนเตอร์ หลอก 'ลูกน้าติง' เสียท่า โดนหลอกหมดตัว เกลี้ยงบัญชี ต้องยืมพ่อโอนให้อีก 4 แสน
เตือนภัยกลโกงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เฟซบุ๊ก Wasu Klinkesorn ของ นายวสุ กลิ่นเกษร ลูกชายของ สุวัฒน์ กลิ่นเกษร หรือ 'น้าติง' นักพากย์กีฬาชื่อดัง โพสต์เรื่องราวที่เขาโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกจนหมดตัว และต้องยืมเงินพ่อเพิ่ม โดยระบุว่า
"ทุกคนครับ
วันนี้ผมเสียท่าให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ระดับหมดตัว
มันทำเป็นตำรวจ แล้วมาสอบปากคำผม หาว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความฟอกเงินในกำแพงเพชร ซึ่งผมไม่เคยไปจังหวัดนี้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วด้วยความกลัวไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เค้าเลยจะให้ผมส่งเงินในบัญชีเพื่อตรวจสอบ ซึ่งด้วยความกลัวหรืออะไรก็แหละ ผมเลยโดนมันหลอกโอนเงินไป หมดตัว
วันนี้ ผมไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ แม้แต่เงิน แถมผมทำให้พ่อลำบากด้วยการไปยืมพ่อหลายแสนด้วย
ใครช่วยเหลือผมตรงนี้ได้ รบกวนทีครับ ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ ทั้งงาน ชีวิตส่วนตัว แล้วตอนนี้ก็คือ ไม่มีเงินแล้ว
รบกวนใครรู้จักกับตำรวจไซเบอร์เทพๆ คนที่ช่วยเหลือผมตามเงินผมกลับมาคืนได้ ช่วยผมด้วยเถอะครับ ผมไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ"
จากกรณีดังกล่าวทีมข่าวพูดคุยกับนายวสุ กลิ่นเกษร เจ้าของโพสต์ดังกล่าว เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า เหตุเกิดเมื่อวานนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาตน อ้างว่าจับคนร้ายได้หนึ่งคน ตรวจสอบเจอบัญชีม้า 32 บัญชี และหนึ่งในนั้นเป็นบัญชีของตน พร้อมอ้างว่าคนร้ายรู้จักกับตนเอง
ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ทำผิด ตนจึงทำการแอด LINE ไปคุยตามที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้าง และพยายามอธิบายเหตุผล และพูดคุย
สุดท้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่า หากบริสุทธิ์ใจก็ให้โอนเงินในบัญชีมาให้ตรวจสอบ โดยข่มขู่ว่าถ้าไม่โอนเงินไปจะอายัดบัญชี พร้อมบอกว่า รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน พ่อเป็นใคร ด้วยความไม่อยากให้เรื่องบานปลาย สุดท้ายจึงตัดสินใจโอนเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในบัญชีไปให้ จำนวน 200,000 กว่าบาท
ทั้งนี้ นายวสุ ยังเล่าอีกว่า ก่อนที่จะโอนเงินรอบแรก ตอนนั้นรู้สึกว่าตนเองจะโดนหลอกแล้ว จึงตัดสายไป แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ยังโทรกลับมาอีกแล้วถามว่า เมื่อสักครู่นั้นวางสายไปหรือสายหลุด ตนจึงอ้างไปว่าสายหลุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็อ้างต่อว่า ดีแล้วที่สายหลุด เพราะถ้ากดวางสายไปจะเป็นการขัดขืนการทำงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งให้คุยโทรศัพท์กับทั้งสารวัตร และผู้กำกับ
หลังจากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังหลอกล่อต่อว่า ถ้าจะได้เงินคืนต้องจ่ายค่าค้ำประกัน ค่ารับรองหลักฐานต่าง ๆ ตนจึงไปยืมเงินจากพ่อเพื่อที่จะมาจ่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ได้เงินต้นคืน
ทางฝั่งคุณพ่อ นายสุวัฒน์ กลิ่นเกษร หรือ 'น้าติง' เล่าให้นักข่าวฟังว่า ครั้งแรกที่ลูกชายโทรมายืมเงิน ตอนนั้นเป็นช่วงเที่ยง ตนออกมาทานอาหารกับภรรยานอกบ้าน ลูกชายบอกว่า ขอยืมเงิน 100,000 บาท ตอนนั้นก็ถามว่าเอาไปทำอะไร ลูกมีท่าทีอ้ำอึ้ง แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะคืนให้คืนนี้ตนจึงโอนเงินไปให้ลูก 100,000 บาท
หลังจากนั้นครั้งที่สอง ลูกโทรมาอีกบอกว่าขอยืมเงิน 150,000 บาท อ้างว่าจะเอาไปลงทุนกับเพื่อน ตนจึงให้เงินไปอีก
ไม่นานครั้งที่สาม ลูกโทรมาอีก ตนเกิดความสงสัยจึงเค้นถามความจริง ลูกอ้างว่าติดหนี้พนันบอล ตอนนั้นตกใจมาก ทั้งที่ตนเองเป็นคนรณรงค์ไม่ให้เล่นพนันบอล จึงโอนเงินไปให้ลูก 100,000 บาท
หลังจากนั้นลูกชายได้โทรหาแม่ ภรรยาของตนเอง เพื่อยืมเงินต่ออีก 50,000 บาท แต่แม่ไม่ให้จึงโทรมาหาตนผู้เป็นพ่อ และขอยืมเงินอีก 50,000 ตนจึงให้ไป ซึ่งขณะนั้นกำลังขับรถกลับบ้านอยู่จึงไม่อยากจะเสียเวลาคุยมาก จึงรีบโอนเงินไปให้
เมื่อขับรถถึงบ้านก็เห็นว่าลูกชายนั้นกำลังโทรคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ ได้ยินฝั่งนั้นพูดว่า ไหนว่าจะไม่บอกใครไง ตนจึงได้เข้าไปคุยและด่าทอต่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จนเงียบไป
ทั้งนี้ในส่วนของคดี หลังจากเมื่อวานนี้ได้โทรหมายเลข 1441 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ก็ได้อายัดบัญชีปลายทางที่โอนเงินไป และได้เลขแจ้งความแล้ว วันนี้จึงจะเดินทางไปแจ้งความและมอบหลักฐาน ส่วนแนวโน้มว่าจะได้กลับมาคืนไหมตัวเองก็ทำใจไว้แล้วล่วงหน้า และถึงอย่างนั้นก็ทำใจไม่ลง เพราะสูญเงินไปทุกบาททุกสตางค์เกลี้ยงบัญชี
สุดท้าย นายวสุ อยากฝากถึงประชาชนว่า ถ้ารู้สึกว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือว่ามีท่าทีไม่ชอบมาพากลก็อย่าเสียเวลาคุย อย่าเผลอคุยเป็นอันขาด เพราะคนพวกนี้มีความสามารถในการหลอกล่อและทำให้เราคล้อยตามได้ง่าย ส่วนฝั่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์เองไม่อยากฝากอะไรมากเพราะเกรงว่าจะเป็นคำหยาบคาย