แบบนี้บาปไหม พระขโมยอาสนะสงฆ์-พระเครื่อง ก่อนขึ้นรถตู้หลบหนี

เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.) มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพ เพื่อเตือนภัยเนื่องจากว่ามีพระสงฆ์เดินมาขโมยของหน้าร้านซึ่งสิ่งของที่หายไปนั้นเป็นอาสนะสงฆ์ประมาณ10กว่าชิ่นซึ่งทำการขโมย2รอบแล้ว โดยคลิปที่ลงไปเป็นภาพขณะที่มีสิ่งของวางไว้เพื่อจำหน่ายอยู่หน้าร้านที่ตั้งอยู่ที่ตลาดอินโดจีนแหล่งท่องเทียวอยู่ริมฝั่งโขงบริเวณข้างวัดยอดแก้วฯ ในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร ฝั่งประตูทางเข้าวัดและมีพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินมาตรงหน้าร้าน พระสงฆ์รูปนี้ได้เอื้อมมือไปอาสนะสงฆ์ สีแดงไม่ทราบว่ากี่อันก่อนจะเดินออกจากหน้าร้านเวลาต่อกันไม่นาน พระสงฆ์รูปนี้ ได้เดินวนมาอีกครั้งคราวนี้ ก่อนจะขโมยก็มองดูบริเวณรอบๆ และค่อยๆ หยิบอาสนะสงฆ์ สีน้ำเงินจำนวนหนึ่งแล้วก็เดิน จากไปเพื่อไปขึ้นรถตู้สีขาวที่จอดไว้ที่ลานจอดรถบริเวณวัด ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้อย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุ ทราบว่า ผู้ที่โพสต์ภาพ และข้อความดังกล่าวนั้น เป็นเจ้าของร้าน โดยร้านดังกล่าวชื่อร้านว่าร้าน จิรัศพาดา ตั้งอยู่ที่ตลาดอินโดจีน ในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร พนักงานที่ร้านเล่าให้ฟังว่าเมื่อว่าน(17/11/64)ช่วงเวลาประมาณ15.00 น.ตนเองได้ทำการตรวจเช็คดูสินค้าภายในร้านปรากฏว่ามีสิ่งของที่หน้าร้านได้หายไปประมาณ10ชิ้นทั่งที่ไม่ได้ขายออกไปจึงเกิดความสงสัยเลยไปเปิดกล้องวงจรปิดตรวจสอบพบว่าช่วงเวลาประมาณ12.42 นาทีได้มีพระสงฆ์เดินมาหยิบอาสนะสงฆ์ ไปและเวลาห่างกันไม่นาน12.46 นาทีพระสงฆ์รูปเดิมได้เดินมาหยิบอาสนะสงฆ์ไปอีกชุดซึ่งรวมแล้วประมาณ10 กว่าชิ้นซึ่งขายอยู่ที่80บาทต่อชิ้น

ซึ่งระหว่างที่ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับพนักงานร้านจิรัศพาดา อยู่นั้นก็มีผู้เสียหายที่ถูกพระสงฆ์รูปนี้ขโมยของเป็นพระเครื่องได้นำกล้องกล้องวงจรปิดที่ถ่ายเป็นภาพนิ่งมาร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่าร้านของตนเองก็ถูกพระรูปนี้เข้ามาสร้างความเสียหายด้วยการขโมยพระเครื่องไปหายหลายองค์มูลค่าประมาณ2,000บาท โดยการก่อเหตุนั้นน่าจะลงมือก่อนที่จะไปขโมยของที่ร้าน จิรัศพาดา ที่ขายอาสนะสงฆ์

ซึ่งผู้เสียได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองมุกดาหาร และส่งภาพให้เพื่อน ได้โพสต์ผ่านสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค เพื่อขอให้คนที่เคยพบเห็น ได้แจ้งเบาะแสเข้ามา เพื่อจะได้ติดตามตัวพระสงฆ์รูป ซึ่งผู้เสียความรู้สึกมาก ที่คนก่อเหตุเป็นถึงพระสงฆ์ และได้ประพฤติตัวดังกล่าว”