ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ร่วงลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันแล้ว หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบและเชื้อเพลิงในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด ขณะที่นักลงทุนเริ่มเทขายทำกำไร น้ำมันราคาพุ่งสูงสุดในรอบ 7 ปี


เมื่อวานนี้ ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ ส่งมอบล่วงหน้าลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.6 เปอร์เซนต์ ไปอยู่ที่ 87.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ เวสต์ เท็กซัส ที่สหรัฐฯ งวดส่งมอบล่วงหน้าลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.5 เปอร์เซนต์ มาอยู่ที่ 85.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


สาเหตุที่น้ำมันร่วงลงเล็กน้อยต่อเนื่อง 2 วัน มี 2 ปัจจัย อย่างแรกคือ นักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ โดยทั้งน้ำมันดิบเบรนท์และเวสต์เท็กซัส พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2014


ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยคือ ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ หรือ อีไอเอ ออกมาเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5 แสน 1 หมื่น 5 พันบาร์เรล มาอยู่ที่ 413.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 5.9 ล้านบาร์เรล สู่ 246.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 11 เดือน


อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์จากแบงค์ ออฟ อเมริกา ยังคงคาดการณ์ว่า ตลาดยังคงมีความกังวลในเรื่องอุปทานที่ตึงตัว ทั้งจากความตึงเครียดจากภูมิรัฐศาสตร์ (ความตึงเครียดทางการเมือง) ในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง รวมไปถึงการผลิตน้ำมันสำรองของกลุ่มโอเปกพลัส ที่ต่ำเกินไป อาจจะทำให้เราได้เห็นราคาน้ำมันดิบเบรนท์ไปเคลื่อนไหวที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในกลางปีนี้


ขณะที่มอร์แกน สแตนลี่ย์ คาดการณ์ว่า เราน่าจะได้เห็นน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ชมผ่าน YouTube ได้ที่นี่ : https://youtu.be/vR6dqI74QIk