ครอบครัวผู้สูงอายุที่จังหวัดสุโขทัย จะยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้เลื่อนการบังคับคดียึดทรัพย์ บ้านและที่ดิน ซึ่งผู้สูงอายุ 4 คน พี่น้องอยู่อาศัยด้วยกัน ออกไปก่อน หลังจากการบังคับคดีตามคำสั่งศาล ต้องให้ออกจากบ้านในวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย.) ขณะที่ครอบครัวยังหวังว่าจะเจรจาซื้อคืนจากผู้ครอบครองคนล่าสุดได้

นายลวง อนุเคราะห์ พร้อมนางตะล่อม ทิมแย้ม อายุ 77 ปี มีฐานะเป็นน้าสาวของนางลวง และนายสมศักดิ์ โตจริง ซึ่งเป็นหลานชาย เดินทางไปสำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย เพื่อขอคำปรึกษาและยื่นคำร้องขอ ขยายระยะเวลาการบังคับคดี หลังจากบ้านที่ญาติซึ่งเป็นผู้สูงอายุ และอยู่อาศัยด้วยกัน 4 คน ได้ถูกขายทอดตลาดไปแล้ว และทั้งหมดที่อายุระหว่าง 77 ปี 80 ปี 82 ปี และ94 ปี ต้องออกจากบ้านหลังนี้ โดยยังไม่มีที่อยู่อื่น

กรณีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 เมื่อหลานชาย กู้เงินเจ้าหนี้รายหนึ่ง 450,000 บาท เพื่อไปทำงานประเทศไต้หวัน โดยนำโฉนดที่ดิน 3 แปลง ทั้งหมด 12 ไร่ รวมถึงที่ดินและบ้านพักไปค้ำประกันด้วย แต่หลานชายที่ไปทำงานถูกคดโกง จนไม่มีเงินมาชำระหนี้และเสียชีวิตไปแล้ว เจ้าหนี้ได้แต่งตั้งทนายความติดตามทวงหนี้เรื่อยมา จนเรื่องเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล และบ้านพร้อมที่ดินถูกขายทอดตลาด เมื่อปี 2562 ได้เงิน 980,500 บาท เพื่อใช้หนี้ และมีเงินส่วนต่างคืนให้ครอบครัว จำนวน 365,000 บาท

ขณะที่ผู้ครอบครองคนล่าสุดต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพย์ที่ซื้อ และการบังคับคดีให้ออกจากบ้านหลังนี้จะมีผลในวันพรุ่งนี้ ทำให้ครอบครัวของผู้สูงอายุทั้ง 4 คน พยายามขอความช่วยเหลือให้ยืดระยะเวลาออกไป เพราะอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินและบ้านคืน เนื่องจากมีความผูกพันธ์กับบ้านหลังดังกล่าว แต่การเจรจาซื้อคืนยังไม่เป็นผล

นายกิตตินพ สุวรรณโรจน์ ทนายความฝั่งลูกหนี้ ระบุว่าเจ้าหน้าที่พยายามช่วยเหลือครอบครัวผู้สูงอายุทั้ง 4 คน โดยแนวทางหลักคือขอไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้ ซึ่งพรุ่งนี้จะยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสุโขทัย เพื่อขอขยายระยะเวลาเพื่อเจรจากับเจ้าหนี้อีกรอบหนึ่ง และระบุว่าอัยการจังหวัด มีแนวคิดที่จะขอฎีกา ถึงเหตุพิเศษ เพื่อให้การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้น โดยการไกล่เกลี่ยขอซื้อบ้านคืน เป็นแนวทางหนึ่งที่ลูกหนี้แจ้งตลอดว่าอยากจะขอซื้อคืน แต่ยังตกลงเรื่องราคาไม่ได้