ข่าวโซเชียล
โค้ชอินฟลูฯ ร่ายยาวแจงอีกมุมดรามาทำร้ายเด็ก สำนึกผิดพร้อมรับผิดชอบ
9 ชั่วโมงที่แล้ว
705 views
โค้ชอินฟลูเอนเซอร์ดัง ร่ายยาวแจงอีกมุมดรามาตบ 2 เด็กชาย ยันใช้แค่ปลายนิ้วตีเบาๆ สำนึกผิดเป็นบทเรียนราคาแพง พร้อมรับผิดชอบเยียวยา
จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์อ้างว่า อินฟลูเอนเซอร์โค้ชกีฬา ผู้ที่โปรโมตตัวเองเป็น “โค้ช” เป็น “ครู” ภาพลักษณ์เบื้องหน้ามีแต่คนยกย่อง ทำร้ายร่างกายเด็ก 2 คน กลางสปอร์ตคลับดังย่านสุขุมวิท เนื่องจากไม่พอใจ เด็กไปสะกิดโดนตีนกบ สำหรับฟินดำน้ำ ที่วางอยู่ขอบสระ
ล่าสุด โค้ชคนดังกล่าวได้ออกมาโพสต์ยอมรับผิด พร้อมชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกมุม โดยระบุว่า “สวัสดีครับ ผมโค้ชโป้ Strong by Science ผมมาสารภาพความผิดที่ได้กระทำเอาไว้ ผมคือคนในข่าวที่ทำร้ายร่างกายเด็กจริง และผมยอมรับผิดทุกประการไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ครับ ผมทำผิดพลาดไปอย่างมาก เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และดูน่ารังเกียจต่อสังคมเพราะเป็นการใช้ความรุนแรงครับ
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่ได้หนีหายไปไหน ผมสำนึกผิดต่อสิ่งที่ทำ ผมจึงได้ทำตามขั้นตอนตามกฏหมายตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุขึ้น โดยการไปแสดงตนและให้ปากคำตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ที่สถานีตำรวจทองหล่อในช่วงค่ำของวันนั้น เพื่อแสดงเจตนาไม่ได้หลบหนีความผิด และพร้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในใบบันทึกประจำวันอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับผิดว่าเป็นผู้กระทำผิดจริงครับ แต่ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าผู้ปกครองยังขอไม่พบเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย
ผมขออธิบายและชี้แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา พร้อมแนบภาพคลิปหลักฐานซึ่งอยู่ในทาง Social Media และสื่อต่างๆ ที่หลายๆ ท่านอาจจะได้เห็นแล้ว
1. เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษจิกายน 2568 ห้วงเวลาประมาณ 16.30 น. ผมได้ฝึกซ้อมดำน้ำเสร็จ และกำลังนั่งพักคุยโทรศัพท์บริเวณใกล้สระน้ำ ผมวางอุปกรณ์ Fins (ฟิน = ตีบกบที่ใช้ดำน้ำ) ไว้ขอบสระบริเวณใกล้กับจุดที่ผมนั่งพักอยู่ ขณะนั้นผมเห็นมีเด็กชาย 2 คน เดินเล่นมาตามขอบสระ มีเด็กที่ตัวเล็กกว่าใส่เสื้อสีส้ม และเด็กที่ตัวสูงกว่าใส่เสื้อสีดำเดินมาด้วยกัน เด็กเสื้อสีส้มได้เดินเตะโฟมว่ายน้ำของสระ ที่วางอยู่ขอบสระ ในระหว่างทางที่เดินเข้ามาหาใกล้กับจุดที่ผมวางฟิน ตอนแรกผมไม่ได้เอะใจอะไรคิดว่าคงไม่เป็นอะไร จึงหันหน้าออกไปคุยโทรศัพท์ต่อตามปกติ
เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ หันมาอีกครั้ง ผมได้เห็นเด็กชายเสื้อสีส้มที่ตัวเล็กกว่า กำลังยืนใช้เท้าเหยียบอยู่บนฟินของผมทั้งสองข้างพร้อมกับเด็กได้หยิบ Noodle foam (โฟมเส้นสำหรับฝึกลอยตัวในน้ำของสระ) ชูขึ้นมาแกว่งเล่น ผมจึงได้เดินเข้าไปบอกเด็กพร้อมชี้ให้ดูว่า “เห้ย! เห็นไหมเนี่ย เราเหยียบของอยู่ครับ” แต่เด็กเสื้อสีส้มก็หันมามองหน้าผมเฉยๆ และยังคงยืนเหยียบฟินของผมอยู่เหมือนเดิม ไม่กล่าวขอโทษ
ผมจึงถอนหายใจ 1 ครั้ง และรู้สึกโมโหเล็กน้อยปนเหนื่อยหน่ายระอาใจกับความซนของเด็ก จึงพูดตำหนิว่ากล่าว “ทำไมถึงเหยียบของ เห็นไหมของเสียหาย” พูดไปพร้อมกับต้องการตักเตือนเด็กโดยการใช้ปลายนิ้วมือข้างซ้ายตีเบาๆ เล็งแค่พอให้เฉียดเส้นผมที่ท้ายทอยด้านขวาของเด็ก ยังมีสติในการคิดยั้งมือเพื่อให้แรงตีนั้นเบามากและโดนแบบเฉียดๆ เพราะผมไม่ได้มีเจตนาให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเด็ก เพียงแค่อยากอบรบสั่งสอน และตักเตือนเบาๆ เท่านั้น ให้รู้จักว่านี่ทำผิดนะ
โดยใช้ปลายนิ้วมือข้างซ้ายตีเฉียดเบาๆ ที่ท้ายทอยด้านขวาของเด็กเสื้อสีส้มที่ตัวเล็กกว่าก่อน แล้วหยิบ Noodle foam ออกมาจากมือเด็กเสื้อสีส้ม จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วมือข้างซ้ายเล็งตีเฉียดเบาๆ ที่ท้ายทอยด้านขวาของเด็กชายเสื้อดำที่ตัวสูงกว่าที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วย เด็กเสื้อดำย่อตัวหลบ มือผมจึงได้เฉียดเส้นผมด้านบนศีรษะไม่ได้โดนศีรษะของเด็กเสื้อดำตรงๆ (โดยที่ผมไม่ได้ตบถูกบริเวณขมับหรือบ้องหูของเด็กทั้งสองคนแต่อย่างใด)
ผมกล่าวกับเด็กว่า “นี่เราทำผิดต้องรู้จักขอโทษสิครับ ไปได้แล้ว ครั้งหน้าระวังหน่อย” หลังจากนั้นมีเพียงเด็กเสื้อดำคนที่ตัวสูงกว่าที่ยืนด้านหลังได้ยกมือไหว้และกล่าว “ขอโทษครับ” ส่วนเด็กเสื้อส้มได้ยืนเกาหัวแล้วยิ้มให้ผม จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็ค่อยๆ เดินหันหลังจากไป เด็กไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นตระหนก ไม่ได้ส่งเสียงร้อง ไม่ได้ร้องไห้ หรือรีบวิ่งหนีผมแต่อย่างใด ผมจึงได้ถอนหายใจด้วยความเซ็งและบอกตัวเองว่าเด็กก็คือเด็ก และได้เตะ Noodle foam อันดังกล่าวที่เด็กได้หยิบมาเล่นด้วยความรู้สึกเซ็ง
2. ห้วงเวลาผ่านไปราวๆ 5-10 นาทีต่อมา ผมคิดในหัวว่าอยากพบผู้ปกครองของเด็ก เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เจตนาอยากแจ้งให้ทราบและคาดหวังให้ผู้ปกครองอบรมสั่งสอนบุตรหลานของท่าน ไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อว่า หรือต้องการค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ฟินดำน้ำที่ถูกเหยียบจนเป็นรอยเสียหาย เพราะรู้สึกว่าเด็กไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกว่าเด็กซนยังไม่รู้ว่าไม่ควรเหยียบของของคนอื่น และรู้สึกว่าผมไม่ถือสาเรื่องอุปกรณ์ที่เกิดรอย เพียงแค่อยากให้ผู้ปกครองได้รับทราบเหตุการณ์เท่านั้น
ผมก็เลยจึงรีบเดินตามหาเด็กทั้งสองอีกครั้ง เพื่อไปสอบถามหาผู้ปกครองว่าเป็นใคร ผมก็เจอเด็กทั้งสองเดินออกไปที่หน้าประตูทางเข้า-ออกสระว่ายน้ำพอดี ผมจึงใช้มือจูงแขนเด็กทั้งสองเข้ามาที่เคาน์เตอร์ด้านในอาคาร เพื่อสอบถามพนักงานว่าใครเป็นผู้ปกครองเด็ก โดยที่ไม่ได้บีบแขนหรือฉุดกระชากลากเด็กมาแต่อย่างใด เพียงจูงและค่อยๆ พาให้เดินตามมาที่เคาน์เตอร์
ผมสอบถามกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ขอโทษครับ ใครเป็นผู้ปกครองเด็ก 2 คนนี้ พอทราบไหมครับ ช่วยตามหน่อย เด็กเหยียบฟินดำน้ำของผม” พนักงานจึงรีบประสานหาผู้ปกครองให้ แต่ผมยังจับแขนของเด็กทั้งสองไว้อยู่เพื่อไม่ให้เด็กเดินหนีไป เด็กชายเสื้อดำพูดกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ผมไปเหยียบอะไรไม่รู้ แต่ผมก็ได้ขอโทษเขาแล้วครับ แล้วเขาก็มาจูงแขนผมอีก”
ผ่านไปไม่ถึง 1 นาที มีเจ้าหน้าที่ชายสวมเสื้อแจคเก็ตสีแดงคาดว่าเป็นครูสอนว่ายน้ำประจำสระน้ำเดินเข้ามาช่วยเจรจา เด็กเสื้อสีดำเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ชายคนดังกล่าว เด็กเสื้อสีดำจึงได้ทำการส่งเสียงร้องไห้และเอามือซ้ายขึ้นมาปิดหน้าและบอกเจ้าหน้าที่ชายท่านนั้นว่า “ผมไม่รู้ ผมไม่ได้ทำ เค้าตบหัวผมด้วยครับ” ส่วนเด็กเสื้อสีส้มยืนมองเฉยๆ จากนั้นผมได้ปล่อยแขนเด็ก ขณะที่รอประสานเรียกผู้ปกครอง ผมจึงได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของ
3. เมื่อเวลาผ่านไปราวๆ 5 นาที จึงได้มีผู้ปกครองชาย 1 ท่านเดินเข้ามาคุยกับผมที่เคาน์เตอร์ กล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมจึงถามพร้อมชี้ไปทางเด็กเสื้อสีส้มว่า “คุณเป็นพ่อเด็กคนนี้เหรอครับ” ผู้ปกครองกล่าวว่า “ใช่ครับ” ผมจึงได้กล่าวว่า “ลูกคุณน่ะ มาเหยียบฟินผมเป็นรอยครับ” ผู้ปกครองจึงถามผมกลับว่า “แล้วคุณทำเด็กทำไม” ผมได้กล่าวว่า “ใช่ครับ ทำเพื่อสั่งสอนเล็กน้อยให้เด็กรู้ว่าผิด” ผู้ปกครองจึงกล่าวกับผมว่า “งั้นผมแจ้งความคุณแล้วกัน” ผมจึงตอบกลับว่า “ผมต้องขอโทษเหรอครับ ของผมเสียหายนะ” ผู้ปกครองจึงได้ตอบว่า “ไม่ต้อง ผมจะแจ้งความ” ผมจึงได้ตอบกลับสั้นๆ ว่า “ครับ”
และผมก็เดินจากไป ด้วยเจตนาไม่อยากมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งตรงนั้นต่อ เพราะรู้ว่าไม่น่าจะเกิดประโยชน์ถ้าหากอยู่ต่อ เนื่องจากผู้ปกครองที่เป็นบิดาเด็กยังดูอารมณ์ร้อนอยู่ ดูไม่พร้อมที่จะพูดคุยเจรจากัน จึงคิดว่าออกมาก่อนดีกว่าแล้วค่อยหาทางติดต่อกลับไปเจรจากันใหม่หลังอารมณ์สงบเย็นลง เพราะผมไม่ได้ติดใจเอาความเรื่องของเสียหายแต่อย่างใด และวางแผนค่อยนัดเจรจากับผู้ปกครองเด็กอีกครั้ง เพื่อขอโทษที่ผมได้ตีเด็ก ถึงแม้จะกระทำเบาๆ และไม่ได้รุนแรงใดๆ แต่ผมก็รู้สึกผิดว่าผมไม่ควรทำเช่นนั้น
4. เวลาราวๆ 19.30 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีทองหล่อโทรมาหาผม แจ้งว่ามีผู้ปกครองมาแจ้งความว่าผมไปทำร้ายร่างกายเด็กสองคน ให้ผมมาเจรจาไกล่เกลี่ย และผมจึงได้ติดต่อกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีทองหล่อว่า “สะดวกไปครับ” แต่ในขณะนั้นมีเสียงคาดว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ว่า “ไม่สะดวกเจรจา” เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้บอกผู้ปกครองใจเย็นก่อน และตำรวจกล่าวกับผมผ่านทางโทรศัพท์ว่า “เดี๋ยวผมติดต่อกลับนะ” ผมจึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้าไปให้ปากคำและลงบันทึกประจำวันว่าที่สถานีตำรวจทองหล่อ เพื่อแสดงตนว่าไม่มีเจตนาหลบหนี และมีเจตนาอยากอธิบายเรื่องที่เกิดทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา
5. เวลาประมาณ 20.30 น. ของวันเดียวกัน (ห่างจากเวลาที่เกิดเหตุเพียง 4 ชั่วโมง) ผมได้เดินทางไปถึงสถานีตำรวจทองหล่อ เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและลงบันทึกประจำวันด้วยเจตนาที่ต้องการจะขอโทษและมาแสดงตนว่าไม่ได้หลบหนีความผิดของตนเอง และแจ้งความประสงค์จะเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้ปกครองของเด็ก และพร้อมเยียวยาค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ตำรวจได้รับทราบและลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน พร้อมแจ้งผมว่า รอผู้ปกครองใจเย็นลงก่อน จะติดต่อประสานงานนัดเจรจาไกล่เกลี่ยให้ และต้องรอดูผลการตรวจร่างกายดูบาดแผลของเด็กก่อน และทางตำรวจจะโทรติดต่อกลับไปอีกครั้ง โดยที่ทางตำรวจไม่ได้ให้ช่องทางการติดต่อกลับของผู้ปกครองเด็กกับผม
6. เมื่อวันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2568 ช่วงเย็น ผมได้พบเห็นหลายเพจข่าวใน Social Media เริ่มที่จะมีการลงข่าวว่ามีเหตุการณ์อินฟลูฯ เพาะกายที่มีผู้ติดตามสี่แสนกว่าคนตบเด็ก รวมถึงมีคลิปวิดีโอกล้องวงจรปิดที่สระว่ายน้ำเผยแพร่ พร้อมกับเนื้อหาข่าวที่รุนแรงเกินความเป็นจริงไปมาก และทำให้มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นใคร ซึ่งหลายคนรับรู้ได้ว่าเป็นผมจากเนื้อหา ร่วมกับ comment ในข่าว และมีการแชร์ต่อกันในวงกว้าง จนผมต้องมีการปิดช่องทาง Social Media ของผมไปก่อน เพื่อรอชี้แจงในรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง
7. จนกระทั่งวันที่วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม 2568 (5 วันหลังเกิดเหตุการณ์) สถานีตำรวจทองหล่อยังคงไม่ได้มีการติดต่อกลับมาหาผมว่าทางผู้ปกครองเด็กจะเจรจาหรือไม่ ผมจึงได้เดินทางเข้าไปที่สถานีตำรวจทองหล่ออีกครั้ง เพื่อให้ตำรวจเป็นตัวกลางประสานเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้ปกครองของเด็กทั้งสอง โดยผมได้ลงบันทึกประจำวันเพื่อต้องการแสดงความขอโทษ และรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยื่นข้อเสนอเป็นเงินเยียวยาต่อเด็กทั้งสองคน และขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาพยาบาลของเด็กทั้งสองคน ที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอในการโพสต์ข้อความขอโทษลงในเพจเฟซบุ๊กของผมด้วย
สรุปต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้สำนึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรับรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้ผมสำนึกคิดได้ว่า หลังจากนี้ไปจะทำการใดต้องนึกถึงผลที่ตามมา และใช้สติในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ยิ่งเราเป็นบุคคลที่มีผู้ติดตามหลายคน ยิ่งต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคมในทุกๆ ด้าน ผมพร้อมรับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะหนีหายหลบเลี่ยงความผิดที่ตนเองได้ก่อเอาไว้ และได้แสดงเจตนาเยียวยาต่อผู้เสียหายอย่างเต็มที่เท่าที่ผมจะทำได้
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าอย่างไร การแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีความรุนแรงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราควรใช้สติและการพูดคุยกันอย่างสันติเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นครับ”



แท็กที่เกี่ยวข้อง โค้ชตบเด็ก ,โค้ชอินฟลูเอนเซอร์