ข่าวโซเชียล
'หมอกฤตไท' จากไปด้วยมะเร็งปอด หลัง 'สู้ดิวะ' นานกว่า 1 ปี โพสต์สุดท้าย ก่อนเดินทางไกล
โดย nattachat_c
6 ธ.ค. 2566
338 views
จากกรณี 'หมอกฤตไท' นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล หมอหนุ่มซึ่งป่วยมะเร็งปอด ได้ออกมาแชร์เรื่องราว และอาการป่วยของตัวเอง ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก และหนังสือ 'สู้ดิวะ' มีผู้ติดตามคอยให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก แต่ล่าสุด คุณหมอกฤตไทได้จากไปในวัย 29 ปี หลังได้ 'สู้ดิวะ' กับโรคร้าย มานานกว่า 1 ปี 2 เดือน
โดย เมื่อวานนี้ (5 ธ.ค. 66) เฟซบุ๊ก ไทภัทร ธนสมบัติกุล คุณพ่อของคุณหมอกฤตไท ได้แชร์ภาพหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งเป็นภาพของลูกชาย ขึ้นเวลา 10:59 น. พร้อมระบุข้อความในโพสต์ว่า “เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย #สู้ดิวะ”
ขณะที่ คุณพีม ภรรยาของหมอกฤตไท ได้แชร์โพสต์บทส่งท้าย จากเพจสู้ดิวะ พร้อมข้อความระบุว่า "ขอบคุณนะที่รัก ภูมิใจในตัวพี่ไทเสมอ และตลอดไป"
--------------
ประวัติพอสังเขปของคุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล
คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล จบมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
สอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งหลังจากเรียนจบ คุณหมอกฤตไทได้ศึกษาต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นเวลา 3 ปี
ขณะที่เรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง คุณหมอกฤตไทตัดสินใจเริ่มเรียนอีกด้านหนึ่งไปด้วยกันคือ ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) เกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วย ด้วยการสร้างผลงานวิจัย ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสถิติ
นอกจากนี้ คุณหมอกฤตไทยังได้เรียนวิศวกรรมศาสตร์ต่อ ในระดับปริญญาโทด้านวิทยาการข้อมูล ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อต่อยอดแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหา และการจัดการข้อมูลที่สำคัญในโลกอนาคต
หลังจากที่เรียนจบเฉพาะทาง คุณหมอกฤตไทถูกบรรจุเข้าทำงานเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีความรู้ความสามารถ จนได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม CE (Clinical Epidemiology) ร่วมกับอาจารย์อีกหลายท่าน
หมอกฤตไท ชอบออกกำลังกาย อาทิ การเล่นบาสเกตบอล ชอบดูแลสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ วางแผนซื้อบ้าน และแต่งงานกับคนรัก
กระทั่ง เมื่อเดือนตุลาคม 2565 คุณหมอกฤตไทสังเกตถึงความผิดปกติของอาการไอ จึงเข้ารับการตรวจ และพบว่า กำลังป่วยเป็น'มะเร็งปอดระยะที่ 4' ซึ่งไม่สามารถผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาดได้ ปัจจัยเดียวที่เป็นไปได้คือภาวะฝุ่น PM2.5 ที่รุนแรงในจังหวัดเชียงใหม่
หลังเข้ารับการรักษา คุณหมอกฤตไทจึงตัดสินใจเปิดเพจ 'สู้ดิวะ' และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 65
และหลังโพสต์ไม่นาน ก็มีคนเข้าไปร่วมแสดงความเห็น ให้กำลังใจ ถูกแชร์จำนวนมาก จนกลายเป็นข่าวโด่งดังขึ้นมา
จากนั้น หมอกฤตไทได้เขียนหนังสือ 'สู้ดิวะ' ขึ้นมา เพื่อแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ และส่งต่อสิ่งเล็ก ๆ บางอย่างให้สังคม
--------------
สำหรับไทม์ไลน์ การต่อสู้โรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายของ หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ มีดังนี้
วันที่ 10 พ.ย. 2565
โพสต์ของหมอหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นไวรัล เมื่อเขาออกมาเล่าประวัติชีวิตของตัวเองผ่านเพจ 'สู้ดิวะ' บอกว่า เขาในวัย 28 ปี ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย โดยเริ่มจากมีอาการไอ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย จึงตัดสินใจไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ในวันที่ 3 ตุลาคม 2565
วันที่ 27 พ.ย. 2565
ตุณหมอกฤตไท อัพเดตชีวิตผ่านเพจ สูดิวะ ว่า ตัวเองสบายดี เพิ่งรับเคมีบำบัดรอบที่สาม จากที่ไม่มีแรง นอนอย่างเดียว เริ่มออกกำลังกาย ใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น แถมผลเอกซเรย์ปอดก็ดูดีขึ้น
วันที่ 25 ธ.ค. 2565
ครบ 3 เดือน ที่ หมอกฤตไทป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขากลับมาอัพเดตชีวิตให้ฟังอีกครั้ง จากวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ อาการป่วยทำให้ได้ลองใช้ชีวิตช้าลง และเขาก็พบว่า มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น และมีข่าวดีว่า เขาตอบสนองกับการรักษาได้ดีมาก ๆ ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด
วันที่ 28 ม.ค. 2566
หมอกฤตไทอัพรูปที่ตัวเองกลับไปทำงานเป็นอาจารย์หมอ สอนนักศึกษาแพทย์ ต้องฝึกพูดใหม่ เพราะปอดไม่ชินกับการพูดนาน ๆ เขาบอกอีกว่า สนุกกับงานจนลืมป่วยไปเลย จากนั้นก็จะทยอยอัพเดตชีวิต และให้ข้อคิดดี ๆ ในทุกเดือน เดือนละครั้ง สองครั้ง
หลังเดือนเมษายน 2566 เพจของหมอกฤตไท ก็เงียบหายไป
วันที่ 16 ก.ย. 2566
หมอกฤตไทก็กลับมาโพสต์อีกครั้ง ด้วยการอัพเดตว่า ตอนนี้ เขาเพิ่งออกหนังสือเป็นของตัวเอง ชื่อ 'สู้ ดิ วะ' พร้อมเล่าหลายเดือนที่หายไปว่า ได้ต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างหนักหน่วง ทั้งผ่าตัดสมอง ฉายแสงที่สมอง และที่หลัง รับคีโมแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อน และอื่นๆ อีกมากมาย เจ็บปวดขนาดที่ว่า เขาท้อกับการมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้
วันที่ 22 ต.ค. 2566
เพจมีการเคลื่อนไหว โดยแอดมินแจ้งว่า คุณหมออาการไม่ค่อยดีนักครับ มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ จากที่วางแผนจะไปร่วมงานแจกลายเซ็นที่งานหนังสือ แต่ก็ไม่สามารถทำได้
วันที่ 8 พ.ย. 2566
หมอกฤตไท โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ ณ ตอนนี้ผมพิมพ์ได้เท่านี้ก็เอาละครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดช่วง 30 ปี ที่ผ่านมาครับ ขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจ”
และล่าสุด วันที่ 5 ธ.ค. 2566
หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล ได้เสียชีวิตลง หลังต่อสู้กับโรคร้ายมานานกว่า 1 ปี 2 เดือน
--------------
เมื่อ วันที่ 22 ต.ค. คุณหมอกฤตไทตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับคุณพีม แฟนสาว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566 เป็นงานเล็ก ๆ สุดอบอุ่น
คุณพีมได้กล่าวคำพูดสุดซึ้งถึงคุณหมอกฤตไทว่า “หลายคนอาจจะมองว่าเธอโชคร้าย แต่เธอคิดว่าเธอโชคดีมาก ๆ ตั้งแต่ได้พบคุณหมอกฤตไท”
“พีมว่า พีมโชคดีมาก ๆ จริง ๆ คือพี่ไทจะพูดตลอดเลยว่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า พีมก็จะตอบพี่ไททุกครั้งเลยว่า พีมโชคร้าย ที่พีมไม่รู้ว่าพีมจะอยู่กับพี่ไทไปถึงเมื่อไร พีมโชคร้ายแค่นั้นเลย ที่เหลือ ตั้งแต่ที่พีมพบพี่ไท พีมรู้สึกมาตลอดเลยว่าพีมโชคดี ที่เจอคู่ชีวิตได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องมันจะไปทางไหน ไม่ว่าเรื่องมันจบยังไง ตอนนี้โชคดีที่สุดแล้วค่ะ”
ในขณะเดียว หมอกฤตไทก็ได้บอกว่า "การที่เธออยู่ข้าง ๆ เค้า มันทำให้เค้ามีความหมายมากขึ้นจริง ๆ นะ และเราก็ว่าการที่เธอทำให้ชีวิตเรามีความหมายนี่แหละ มันสำคัญมากเลย"
โดยคุณพ่อของคุณพีมได้อวยพรบ่าวสาวว่า “วันนี้ป๊ามีความสุขมาก ที่ลูกสาวมีงานพิเศษในวันนี้ และขอให้ทั้งคู่มีความสุขมาก ๆ”
ด้านคุณแม่เจ้าสาว ได้กล่าวอวยพรทั้งคู่ว่า “วันที่พีมเลือกที่จะมาอยู่กับมาม๊า วันนี้ม๊ามีความสุข ที่เห็นลูกสาวมีความสุขในวันนี้”
ด้านคุณพ่อของคุณหมอกฤตไท กล่าวว่า "กว่าจะถึงวันนี้ สู้ ! เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า 2 คนนี้รักกันมากแค่ไหน ลูกจ๋า เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด มันไม่ใช่เงิน มันคือเวลาที่เราจะได้ใช้ร่วมกัน และทั้ง 2 คนก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างดีที่สุด"
-------------
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 เฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul ของหมอกฤตไท มีการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นรูปในงานแต่งงาน จากนั้น มีการโพสต์ข้อความว่า
"ผมคงอยู่อีกไม่นานแล้ว ใครมีอะไรอยากจะบอกผม เชิญได้เลย ผมคิดว่าน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้น ไว้เจอกันใหม่นะครับ ณ ตอนนี้ ผมพิมพ์ได้เท่านี้ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา และขอโทษที่ทำให้ใครไม่พอใจ"
นอกจากนี้ หมอกฤตไท ยังโพสต์ถึงความฝันที่อาจจะทำไม่สำเร็จด้วยว่า "ผมคงไม่ได้ไปดูบาสเกตบอล NBA ถึงสหรัฐอเมริกา คงไม่ทันได้เข้าไปอยู่ในบ้าน คงไม่ทันได้เจอพี่เพียว จากนี้ฝากบ้าน ฝากพีม ฝากครอบครัวด้วย ขอบคุณจากใจให้กับทุกคนที่ช่วยดูแล"
วันที่ 8 พ.ย. คุณหมอกฤตไท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง โดยระบุว่า
"แพ้สุดทุกทางแล้วว่ะ กลับไปรอที่บ้าน หรือ นอนรอกลับบ้านที่นี่ดี" แต่ทำการปิดคอมเมนต์ ห้ามไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ
วันที่ 18 พ.ย. ระหว่างการแข่งขันกีฬาจตุรมิตร ครั้งที่ 30 ที่สแตนเชียร์ของโรงเรียนสวนกุหลาบ ได้แปรอักษรเป็นรูปของหมอกฤตไท ศิษย์เก่าสวนกุหลาบรุ่น 131
โดยมีการนัดหมายปรบมือให้ นพ.กฤตไท ในฐานะศิษย์เก่าสวนกุหลาบรุ่น 131 ในฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศ โดยพบว่า ในนาทีที่ 10 ของการแข่งขัน ทั้งสนามได้เริ่มปรบมือในนาทีที่ 9 เมื่อถึงนาทีที่ 10 ก็จะตะโกน "สู้ดิวะ" ทั้งหมด 10 ครั้ง เนื่องจากหมอกฤตไทเกิดวันที่ 10
-------------
หลังจากที่ 'หมอกฤตไท' นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล หมอหนุ่มซึ่งป่วยมะเร็งปอด ได้ออกมาแชร์เรื่องราวและอาการป่วยของตัวเอง ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก และหนังสือ 'สู้ดิวะ' มีผู้ติดตามคอยให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก และล่าสุด ได้จากไปในวัย 29 ปี
วานนี้ (5 ธ.ค. 66) เพจ สู้ดิวะ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “สวัสดีครับ หลาย ๆ ท่านคงได้ทราบเรื่องการจากไปของหมอกฤตไท เมื่อช่วงเช้าวันนี้แล้ว
ตั้งแต่คุณหมอไทรู้ว่าตัวเองป่วยเมื่อช่วงปีที่แล้ว คุณหมอมีความตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่ากับคนรอบข้างมากที่สุด พวกเราได้สร้างเพจ ‘สู้ดิวะ’ นี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดต่าง ๆ ที่หมอไทได้ตกตะกอน ในช่วงที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย
ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมนั้น เกินกว่าที่หมอไท และพวกเรากลุ่มเพื่อนสนิท หวังไว้ไปมาก
หลายท่านได้มีโอกาสกลับมาทบทวนแนวทางการดำเนินชีวิต หลายท่านได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวในฐานะผู้ป่วยระยะสุดท้าย และหลายท่านกลับมามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จากการที่ได้อ่านโพสต์ของคุณหมอ
นอกจากจะได้แบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ให้กับคนรอบตัว เพจนี้ยังเป็นเสมือนกำลังใจในการใช้ชีวิตให้กับคุณหมออีกด้วย หลายครั้งที่หมอไทท้อแท้ หรือหมดกำลังใจจากการรักษาที่แสนทรมาน สิ่งหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้หมออยู่เสมอ ก็คือเรื่องราวของผู้ติดตามเพจ ‘สู้ดิวะ’ ที่ได้รับอะไรบางอย่างจากข้อเขียนของหมอไท
ตอนนี้เพจ ‘สู้ดิวะ’ ได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ในฐานะเพื่อนของคุณหมอไท ที่ได้ร่วมช่วยดูแลเพจนี้มาตลอด พวกเราอยากจะขอขอบคุณทุกคน ที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันมาจนถึงวันนี้
หลังจากนี้ถึงแม้จะไม่มีโพสต์ถัดไปจากคุณหมออีกแล้ว แต่พวกเราหวังว่าแนวคิดและแรงบัลดาลใจที่คุณหมอได้สร้างไว้ จะถูกพูดถึง ส่งต่อ เป็นพลังให้กับผู้คนในสังคมต่อไป
ขอบคุณทุกคนมากๆครับ
แม็ก, ศีล, แก๊ป
แอดมินเพจสู้ดิวะ”
------------
บทส่งท้าย จากคุณหมอกฤตไท
ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงสรุปได้ว่า “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”
มาคิดดูดี ๆ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดูผิดปกติเหมือนกันนะครับ ที่ผมจะต้องมาตายก่อนที่จะแก่ เมื่อก่อนผมดูแลตัวอย่างดี เพื่อที่จะให้ตอนแก่ไม่เป็นโรคเรื้อรังอย่าง เบาหวาน ไขมัน ความดัน ผมอยากเป็นคนแก่ที่ผมหงอกแต่มีกล้าม สุขภาพแข็งแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสไปถึงวันนั้นเสียแล้ว ยอมรับว่ามันก็รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ แต่ก็นี่แหละครับ ชีวิต ชีวิตที่แสนเปราะบาง ชีวิตที่เราเคยเข้าใจผิดไปว่าเรามีสิทธิ์ในการจะบงการมันไปอีกยาวนาน ผมรักชีวิตของผมตอนนี้มาก ผมรักทุกคนรอบตัวผม รักทุกอย่างที่ผมมี รักทุกสิ่งที่ผมเป็น แน่นอนว่าผมไม่อยากจากไป แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้
ผมหวังว่าเรื่องของผมจะช่วยให้คุณกลับมามองชีวิตตัวเองแล้วฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาเป็นโรคร้ายแบบผม
กับตัวเอง ตั้งแต่ป่วยมา ผมเลิกให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องน่าหงุดหงิด เรื่องน่ากังวลไร้สาระที่เมื่อก่อนผมให้ความสำคัญกับมันเสียมากมาย ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วย คุณก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเรื่องไร้สาระพวกนั้นได้ตอนนี้เลย
วันนี้คุณอาจกำลังทำงานเกินเวลา คุณอาจหัวร้อนที่ตีบวกไม่ติด คุณอาจหมดใจกับองค์กร คุณอาจหงุดหงิดพุงย้อยๆ ของตัวเอง คุณอาจไม่พอใจที่ตอนไปดัดผมออกมาแล้วหยิกเกินไป คุณอาจอยากให้ซิกแพ็คคุณชัดกว่านี้สักหน่อย หรือ อาจกำลังรำคาญสิวบนใบหน้า
เรื่องไร้สาระพวกนี้ ช่างหัวมันเถอะครับ
ผมเคยสนใจเรื่องพวกนี้มากพอๆ กับคุณแหละครับ แต่เชื่อผมเถอะ คุณจะไม่คิดถึงมันเลย ถ้าคุณกำลังจะตาย
พอเราไม่ต้องเสียเวลาให้กับเรื่องเล็กๆ พวกนั้นแล้ว คุณจะมีสมาธิมากพอที่จะโฟกัสกับอาหารตรงหน้า โฟกัสกับการวิ่ง โฟกัสกับอากาศบริสุทธิ์ที่คุณยังสามารถหายใจเอามันเข้าไปในปอดของคุณได้ โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบผม คุณลองมองความสวยงามของธรรมชาติ มองรอยยิ้มของคนรอบข้าง และเสียงหัวเราะของคนที่คุณรัก มันพิเศษมากๆ เลยที่คุณยังทำสิ่งเหล่านี้ได้
ผมเห็นคนบ่นว่ามันยากแค่ไหนที่จะไปออกกำลังกาย เงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้เขาไม่สามารถดูแลร่างกายตัวเองได้ ให้ตายเถอะ ผมอยากไปออกกำลังกายมากๆ คุณควรดีใจนะ ที่คุณยังไปออกกำลังกายได้ ดังนั้น ไปเถอะครับ ออกไปดูแลสุขภาพตัวเองในตอนที่คุณยังทำได้ แม้ว่ารูปร่างของเราจะยังไม่ใช่แบบที่เราต้องการ แต่การออกกำลังกายและกินอาหารที่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรทำจริงๆ ครับ
สิ่งสำคัญนอกจากการดูแลร่างกายคือการดูแลสุขภาพจิตของเรา ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่สังคมออนไลน์ที่น่ากลัวมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือสังคมรอบข้างตัวคุณ เราเปลี่ยนความคิดคนรอบข้างไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวคนรอบข้างเราได้ครับ เราไม่จำเป็นต้องทนอยู่กับคนที่ทำให้ชีวิตเราแย่ลง หรือคนที่เราไม่ได้อยากอยู่ด้วย เลือกสังคมให้ชีวิตตัวเองดีๆ
ผมเห็นผู้คนที่ไม่อยากให้ถึงวันจันทร์ คนที่ยอมอดทนทั้งที่มีสิทธิ์เลือก คุณไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำงานครับ ชีวิตคุณไม่ได้ยาวนานพอที่จะอยู่อย่างฝืนทน เลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณไม่ต้องการ อย่าไปใช้เวลาของคุณเพื่อความฝันของคนอื่นครับ จำไว้ว่าถ้ามีเรื่องไหนที่คุณไม่โอเคกับมัน คุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ทั้งเรื่องงาน ความรัก หรืออะไรก็ตาม คุณต้องกล้าที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตคุณเอง คุณจะไปทนทำไม คุณอาจบอกว่า “ทนไปแล้วค่อยเปลี่ยน” แต่คุณไม่รู้ว่าหรอกว่าคุณเหลือเวลาบนโลกนี้อีกเท่าไหร่ ดังนั้น อย่าเอาเวลาชีวิตที่แสนจำกัดนี้ไปใช้กับสิ่งที่คุณไม่ชอบเลยครับ แค่ทำสิ่งที่ชอบ เวลาก็ไม่พออยู่แล้ว
ให้เวลากับคนรักของคุณ กับเพื่อน กับครอบครัว กับคนที่รักคุณ กับคนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณ มากกว่าภาระ การงาน ตำแหน่ง และเงินทองเถอะครับ
ผมหวังว่าคุณจะหันมาขอบคุณความปกติในชีวิตคุณให้มากขึ้น
ทุกคืนที่คุณล้มตัวลงนอนแล้วนอนหลับได้ การที่คุณไม่ต้องฝันถึงท่อช่วยหายใจ ทุกวันที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้หายใจแล้วเจ็บ ไม่ได้มีอาการหอบเหนื่อย ถ้าคุณไม่ได้มีอาการปวดกระดูกทุกครั้งที่คุณขยับตัว หรือคุณไม่ต้องมากลัวว่าวันไหนที่ตื่นมาแล้วคุณจะมองไม่เห็น เดินไม่ได้ พูดไม่ชัด ขยับแขนขาไม่ได้ ในขณะที่ผมเขียนข้อความนี้อยู่ ผมปวดกระดูกและเจ็บเส้นประสาทมาก ผมมีอาการเหมือนโดนน้ำร้อนลวกที่หลัง และโดนมีดแทงที่ลำตัวข้างขวาตลอดเวลา ผมต้องกินยาแก้ปวดมหาศาลเพื่อให้ผมยังเขียนข้อความนี้ได้
ขอบคุณชีวิตที่แสนปกติของคุณเถอะครับ แล้วใช้มันให้เต็มที่กับทุกวันที่โลกนี้มอบให้กับคุณ
ชีวิตที่ปกติและธรรมดาในแต่ละวันของคุณมันคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้คุณจะตื่นมาแล้วมีทุกอย่างแบบที่คุณมีวันนี้อยู่ไหม
วันก่อนที่ผมจะได้รับการวินิจฉัย ผมก็คิดเหมือนทุกคนแหละครับ ว่าคงไม่ใช่ผมหรอกที่ต้องมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ดังนั้น อย่าทำอะไรให้ต้องมาเสียใจทีหลังเลยครับ
ใช้ช่วงเวลาที่คุณมีให้มีความสุขไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันพิเศษ เราโชคดีมากที่ยังได้มีโอกาสมาเจอช่วงเวลานี้ และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อย่าเอาแต่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อเอาไปอวดคนอื่นว่าตัวเองกำลังมีความสุข อย่าเอาความสุขไปแขวนกับความคิดคนอื่นที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ กลับมาดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า กับผู้คนตรงหน้าคุณ กับมื้ออาหารที่คุณได้กิน แล้วรับความสุข ณ ขณะนั้นไปเลย
คุณเลือกได้ครับ ที่จะมองเรื่องราวทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นของขวัญ
ตอนไปญี่ปุ่น ผมได้มีโอกาสไปที่ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) ได้ไปในโซนของ แฮร์รี พ็อตเตอร์ พร้อมกันกับพีม พีมได้ซื้อของฝากที่เป็นเครื่องรางย้อนเวลาในหนังกลับมา พีมพูดกับผมว่า มันคงจะดี ถ้าเราย้อนเวลาได้ ผมจับมือและสบตากับพีมอย่างจริงจัง พร้อมกับบอกว่า “เค้าไม่อยากย้อนเวลาหรอก”
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเค้าทั้งดีและร้าย รวมถึงการที่เราทั้งคู่ต้องมาเผชิญกับโรคมะเร็งนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด ถ้าย้อนเวลาไปแล้วแก้ไขบางสิ่ง บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นอาจจะไม่เกิดก็ได้ ถ้าย้อนเวลาไปแล้วหาทางทำให้ตัวเองไม่เป็นมะเร็ง ความรู้สึกขอบคุณชีวิตในวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ผมก็ยังอาจจะวิ่งไล่ตามทุนนิยมเอาแต่อยู่กับอนาคตจนลืมใช้ชีวิตในปัจจุบันแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้”
ตรงนี้น่าสนใจมากครับ เพราะตอนแรกที่ผมทราบตัวเลขจากงานวิจัยว่าผมจะมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้นานเท่าไหร่ ถ้าผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อีกนานเท่าไร ผมจะตายนะ” ผมก็คงจะซึมเศร้าและเอาแต่นั่งนับถอยหลังชีวิตตัวเอง เอาแต่นั่งคิดว่าเวลาผมลดลงทุกวัน
มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับสวนสนุกอยู่ครับ มีคนไปถามเจ้าหน้าที่สวนสนุก ว่าวันนี้สวนสนุกปิดกี่โมง เจ้าหน้าที่ตอบว่า “สวนสนุก เปิดถึงสองทุ่ม”
แต่จากข้อคิดในเรื่องการปิดของสวนสนุก ที่ไม่ได้มองว่าสวนสนุกจะปิดเมื่อไหร่ แต่กลับมองว่ายังเปิดถึงเมื่อไหร่ เป็นการมองจากจุดที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน ไปยังอนาคตข้างหน้า ว่ายังเหลือเวลาแห่งความสุขได้อีกตั้งเท่าไหร่
ดังนั้น ผมจึงมีชีวิตแต่ละวันนับไปข้างหน้า วันนี้ได้เพิ่มมาอีกวัน วันนี้ได้เพิ่มมาอีกวัน แบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้และไม่มีใครรู้ ว่าสวนสนุกของผมจะปิดเมื่อไหร่
แต่ถ้าวันนี้ไฟยังสว่างและม้าหมุนยังคงทำงาน ผมจะมีความสุขไปกับช่วงเวลาที่ผมมีอยู่ครับ
ทุกท่านก็เช่นกัน
--------------
แท็กที่เกี่ยวข้อง หมอกฤตไท ,สู้ดิวะ ,มะเร็งปอด ,เชียงใหม่ ,pm2.5