ข่าวโซเชียล

เพจดังให้ความรู้เรื่อง "สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของลูก"

โดย onjira_n

26 มี.ค. 2565

7.4K views

ถือเป็นเรื่องที่สร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมไทยได้กลับมาตระหนักถึงสิทธิในร่างกายของคนเป็นลูกอีกครั้งเมื่อปุ้มปุ้ย และกวินท์ ได้ตัดสินใจจะไม่โพสต์รูปลูกของเธอลงสื่อโซเชียลทุกช่องทาง เนื่องจากเธอเคารพให้ร่างกายของลูก โดยเรื่องนี้หลายคนออกมาชื่นชมเธอเป็นจำนวนมาก 


ล่าสุด เพจนักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง ก็ได้มีการโพสต์เกี่ยวกับเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของลูกดังนี้


" เพจนักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่องขอชื่นชม ครอบครัวของคุณปุ้มปุ้ยและคุณกวินท์มากค่ะ ในฐานะของนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานคุ้มครองเด็ก นี่คือ “ต้นแบบ” ที่น่าชื่นชมของการเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ ที่เราอยากรณรงค์ให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง “สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของลูก”

แม้เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทยที่อาจจะเคยชินกับการมองเด็กเป็น “สมบัติ” ของพ่อแม่ หรืออำนาจของพ่อแม่ที่ “เหนือ” กว่าเด็ก และยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเด็กมากนัก

สำหรับเรื่องนี้สิ่งที่คุณปุ้มปุ้ยและคุณกวินท์ตัดสินใจไม่ใช่เรื่องของ ความกระแดะ เรื่องของการทำลูกให้เป็นเทวดา อะไรทั้งนั้น แต่ความลึกซึ้งของเรื่องนี้คือ

1. การตัดสินใจนี้อยู่บนฐานของการ “เคารพเด็ก” คือการตระหนักว่า เด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถบอกความรู้สึกได้ ว่าเขาอยากมีรูปหน้าตา หรือแบ่งปันห้วงเวลาส่วนตัวกับมนุษย์คนอื่นนอกครอบครัวของเขาหรือไม่ และในกรณีที่เขายังบอกไม่ได้ การปกป้องและเคารพเขาที่ดีที่สุดคือ การไม่นำเอาชีวิตส่วนตัวเขามาแบ่งปันกับสาธารณะในขณะที่เขายังบอกความรู้สึก หรืออนุญาตไม่ได้

2. สิ่งสำคัญจากตรงนี้คือ การปฏิบัติเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์และการสื่อสารสำคัญที่พ่อแม่จะให้เด็กเรียนรู้ว่า “เขาคือเจ้าของชีวิตตนเอง” “เขาคือผู้มีสิทธิขาดเหนือเนื้อตัวร่างกายตนเอง” ที่คือการแสดงความเคารพต่อลูก และเป็นการแสดงความรักที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

3. การงดถ่ายรูปลูกลงสื่อสังคมออนไลน์เพื่อแบ่งปันตลอดเวลาหรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Sharenting (Sharing + parenting) คือการเคารพในหลักการ “สิทธิที่จะถูกลืม” (right to be forgotten) ซึ่งเป็นการตระหนักว่า เมื่อใดก็ตามที่เราโพสต์รูปลูก ไม่ว่าขณะใดก็ตามในโลกออนไลน์ รูปของลูกเรา ใบหน้าของเขา อากัปกริยาที่ถูกถ่ายไป จะถูกบันทึกในโลกออนไลน์ตลอดการ มันจะถูกแบ่งปันไปอย่างมหาศาลจนไม่มีใครสามารถควบคุมได้ และไม่สามารถรู้วัตถุประสงค์ว่าใครจะเอารูปลูกเราไปทำอะไร แบบไหนได้เลย

ดังนั้นนี่จึงเป็น “ต้นแบบ” ของพ่อแม่ยุคใหม่ ที่อยากให้ทุกคนได้ตระหนักและเรียนรู้ผ่านกรณีของครอบครัวนี้ค่ะ "


คุณอาจสนใจ

Related News