ข่าวโซเชียล
ฟังอีกมุม เชฟดังโต้ดรามาทะเลาะเมีย เผยปมเรื้อรังจากธุรกิจ รับไม่ได้มาตบหน้าพ่อ ลั่นพร้อมหย่าแต่ต้องแบ่งทรัพย์สิน-ปกครองลูกร่วมกัน
26 มิ.ย. 2568
271 views
เมื่อวานเรานำเสนอกรณีที่เมียร้อง ว่าโดนสามีเป็นเชฟชื่อดังทำร้ายร่างกาย ฟ้องยักยอกทรัพย์ ล่าสุดฝ่ายชาย ออกมาโต้กลับพร้อมงัดหลักฐานโชว์บอกว่า ทนมานานแล้ว รับไม่ได้เมียตบหน้าพ่อ วันนี้พร้อมหย่า และต้องแบ่งทรัพย์สินและการปกครองลูกร่วมกัน
ทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เดินทางไปพบกับคุณมาร์ค สามี เล่าว่า ตนกับภรรยาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนเกิดความสนิทสนม หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นแฟนกัน ตอนนั้นตนและโบว์เริ่มไลฟ์สดขายเสื้อผ้าโบว์ก็จะไลฟ์ขายเสื้อผ้ามือสอง ส่วนตนเอง ไลฟ์ขายสูทผู้ชาย ซึ่งรายได้ดีมากจนสามารถตั้งบริษัทเกี่ยวกับการขายเสื้อผ้าหลังเรียนจบ
จากนั้นก็ร่วมกันตั้งร้านบางกอกบุชเชอร์ โดยเริ่มจากการลงทุนรับเนื้อวัวพรีเมี่ยมมา 2 กิโล มาโพสต์ขายในโซเชียล ซึ่งเงินทุนมาจากเงินของทั้งคู่ ไม่ใช่ของโบว์ฝ่ายเดียว กิจการร้านเนื้อก็ขายดีมาก จนมีการจดทะเบียนเปิดบริษัท ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี ตนและภรรยาจึงพากันไปจดทะเบียนสมรส
หลังจากนั้น โบว์ก็ตั้งท้องลูกชายคนแรก หลังคลอดลูกคนแรกได้ประมาณ 5-6 เดือนก็ตั้งท้องลูกชายคนที่ 2 โดยช่วงนั้นโบว์มาอาศัยอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ตนย่านสุขสวัสดิ์ ครอบครัวญาติพี่น้องตนก็คอยช่วยเลี้ยงลูกชายคนโตให้ ในขณะที่ตนและภรรยาก็ไลฟ์สดขายเสื้อผ้าไลฟ์สดขายเนื้อวัวหารายได้ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ดูไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งโบว์เข้ากับครอบครัวของตนเข้ากันได้เป็นอย่างดี
กระทั่งช่วงปี 2564 โควิดระบาดหนัก ไลฟ์สดขายเสื้อผ้าไม่ดีเหมือนที่ผ่านมา โบว์และน้องสาวตนจึงชวนกันลงทุนรับหน้ากากอนามัยมาขาย โดยที่ตนไม่ได้เห็นด้วยทั้งเตือนทั้งห้ามมาตลอด เพราะตนไม่อยากให้เมียกับน้องสาวทำธุรกิจร่วมกันเพราะตนรู้ว่าจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ โบว์และน้องสาวของตนทะเลาะกันอย่างรุนแรง เนื่องจากลูกค้าร้องเรียนหน้ากากอนามัยไม่ได้คุณภาพ
หลังจากนั้นเมื่อปี 2565 น้องสาวตนจึงมาศึกษาหาความรู้เรื่องเนื้อวัวจากตน ตนก็สอนให้ทั้งการดูเนื้อ เลือกเนื้อ จนน้องสาวตนสามารถไปเปิดร้านอาหารได้
จึงทำให้โบว์ เข้าใจผิดว่า น้องสาวเปิดร้านแข่งและแอบก็อปสูตรการทำเนื้อ ไป ซึ่งตนมองว่า มันไม่เกี่ยวกัน เพราะร้านเป็นคนละสไตล์ของตนเป็นสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ แต่ของน้องสาวเป็นร้านอาหารไทย แต่โบว์ก็ไม่พอใจและมีการโพสต์แซะน้องสาวตลอดเวลา จนทะเลาะกันรุนแรงขึ้นไปอีก โบว์จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พ่อของตนฟังเพื่อให้พ่อช่วยตัดสินว่าใครถูกใครผิด
พ่อตนก็ไม่ได้เข้าข้างใคร จึงบอกว่าให้ต่างฝ่ายต่างขอโทษกันทั้งคู่ น้องสาวของตนก็ยอมขอโทษ แต่โบว์ไม่ยอมแถมเถียงพ่อกลับไปว่า "ถ้าโบว์เปิดร้านผักดองแข่งกับป๋าบ้างป๋าจะว่ายังไง" พ่อตนได้ยินแบบนั้นก็รู้สึก อึ้งไม่คิดว่าโบว์จะกล้าเถียงพ่อขนาดนี้ เพราะพ่อของตนต้องการประนีประนอมเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ ไม่ได้ชี้ว่าใครถูกใครผิด , ซึ่งเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้เพิ่มรอยร้าวมากขึ้นกลายเป็นว่า โบว์เริ่มเข้ากับครอบครัวของตนไม่ได้ ตนก็กลายเป็นคนกลางที่ต้องรับฟังปัญหาทุกอย่าง
กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายคือวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ลูกชายของตน 2 คนไปเล่นที่บ้านพ่อแม่ พอตกค่ำตนและโบว์ก็ไปรับลูกกลับบ้านตามปกติ แต่ปรากฏว่าโบว์เป็นคนขอลงรถเพื่อไปรับลูกเอง ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกๆแล้ว เพราะทุกครั้งเวลามารับโบว์จะรออยู่บนรถเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่ครั้งนี้โบว์ดึงดันที่จะลงไปรับเอง แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆเพราะโบว์เดินเข้าไปหาเรื่องพี่ชายตนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับพ่อว่า มองหน้ากูทำไม ซึ่งพี่ชายตนเพิ่งไปทำเลสิกตามา จึงต้องใส่แว่นแล้วพี่ชายตนก็ตอบไปว่า กูไม่ได้มองหน้ามึง จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มมีปากเสียงทะเลาะกัน / พ่อตนจึงพยายามห้ามและบอกให้โบว์เข้ามาคุยในบ้าน จากนั้นโบว์ก็เดินปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อพ่อ และตบเข้าที่หน้า 2 ที ตนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างกับตา ครั้งนี้ตนจึงตัดสินใจแล้วว่า ถึงเวลาแตกหัก ตนไม่พร้อมที่จะไปต่อกับผู้หญิงคนนี้แล้ว
หลังเหตุการณ์ที่โบว์ทำร้ายร่างกายพ่อ พ่อก็ไปแจ้งความไว้ แต่พ่อพูดกับตนว่า "พ่อให้อภัยลูกสะใภ้คนนี้ได้ เพียงขอแค่ให้ลูกสะใภ้คนนี้มาขอโทษเท่านั้น แล้วพ่อจะไปถอนแจ้งความทุกอย่าง" แต่โบว์ไม่ยอม แถมบอกว่า " ไม่ พ่อมึงมันเหี้.... บ้านมึงเหี้....ทั้งตระกูล" จึงทำให้ตนตัดใจไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ถึงแม้จะยังคงอาศัยอยู่ด้วยกันก็ตาม แต่ตนก็ไม่ได้มีการพูดคุยกัน ต่างคนต่างอยู่ แยกห้องกันนอน แต่ยอมรับว่า ยังมีอะไรกันทุกคืน
หลังจากนั้นเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โบว์ ได้พาลูกชายทั้งสองคนหนีออกจากบ้านไป และตนไม่รู้ด้วยว่าไปอยู่ที่ไหน เพิ่งมาทราบหลังจากเป็นข่าวว่าเมียพาลูกหนีไปอยู่ที่พัทยา
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนมองว่า สิ่งที่เป็นปัญหาทำให้ตนกับโบว์ทะเลาะกันนั้น คือปัญหาด้านอารมณ์ของภรรยา ที่ไม่สามารถจัดการได้ อารมณ์คิดเองเออเอง จึงทำให้เกิดปัญหา ในส่วนประเด็นทำร้ายร่างกายนั้น ตนยอมรับว่า มีจริง ซึ่งต่างฝ่ายต่างทำร้ายกัน
ส่วนเรื่องที่โบว์ บอกว่าถูกบีบบังคัญให้ออกจากกิจการขายเนื้อที่ร่วมสร้างกันมานั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีใครบีบเขาได้ทั้งนั้น ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพราะช่วงที่โบว์พาลูกหนีไป โบว์ได้มีการโอนเงินจากบัญชีของบริษัทขายเนื้อไปจนหมดบัญชี จำนวนเงินกว่า 3 แสนบาท
และที่ผ่านมาโบว์ก็ได้กระทำเช่นนี้ในหลายครั้งแล้ว เวลาทะเลาะกัน พอดีกันเมื่อไหร่เขาก็โอนเงินกลับคืนบริษัท ซึ่งตนก็เคยมีการตักเตือนหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุด นอกจากมีการโอนเงินออกจากบัญชีของบริษัทแล้วยังมีการแอบโอนหุ้นของบริษัทด้วย จากเดิมที่เคยแบ่งกันไว้ โดยของมาร์ค 70% /พ่อ 1% และ /โบว์ 29% , แต่โบว์แอบโอนหุ้น ของตนเหลือเพียง 20% และของโบว์เพิ่มเป็น 80% โดยที่ตน ไม่เคยรับรู้มาก่อน
ตนตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดี และตนกับเมียคงกลับไปเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ตนพร้อมที่จะหย่า แต่ต้องมีการแบ่งทรัพย์สินกันอย่างเป็นธรรม และการปกครองบุตร ต้องปกครองร่วมกัน
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/EBXQTDg5s_E
แท็กที่เกี่ยวข้อง