สังคม

ฝันสลาย แรงงานไทย 250 ชีวิต หวังได้ไปทำงานเมืองนอก ถูกลอยแพกลางสุวรรณภูมิ ไร้ชื่อจองตั๋ว

โดย passamon_a

5 ม.ค. 2568

283 views

ฝันสลาย แรงงานไทย 250 ชีวิต เหมารถมาสนามบินสุวรรณภูมิ หวังได้ไปทำงานที่ออสเตรีย สุดท้ายรอเก้อไม่มีตั๋วบิน จึงรวมตัวเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ หวั่นถูกหลอกสูญเงินรวมกันกว่า 12 ล้านบาท


เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 4 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนหน้า ในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีทางด้านกลุ่มแรงงานไทยทั้งชายหญิงเกือบ 50 ชีวิต หอบกระเป๋าเดินทาง รวมตัวกันมาขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนของ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจากที่ผู้เสียหายทั้งหมด ได้ทำการโอนเงินให้กับหญิงสาวรายหนึ่ง เพื่อจะได้ไปทำงานการเกษตรและอุสาหกรรมในประเทศปลายทางคือ อิสราเอล


โดยมีการนัดกำหนดเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงสี่ทุ่มของคืนนี้ แต่พอใกล้เวลาผู้เสียหายทั้งหมดไปเช็ดตั๋วเดินทางกลับไม่พบข้อมูลการจองตั๋วเที่ยวบินเพื่อเดินทางแต่อย่างใด จึงพากันมาแจ้งความในครั้งนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คอยอำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำ


นางสลิลทิพย์ หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ เล่าให้กับนักข่าวเราฟังว่า บุตรชายตนเอง ได้รับการติดต่อจากคนรู้จักรกันบอกปากต่อปากกันมาชักชวนให้ไปทำงานด้านการเกษตร มีรายได้ดี จึงตอบตกลงและโอนเงินจำนวน 60,000 บาท ให้กับ นางสาวออย ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนในการจัดหาคนงานไปทำงาน โดยนัดบินในค่ำคืนนี้จึงพากันเดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่พอมาถึงไม่พบว่ามีการจองตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด พอถาม นางสาวออย กลับได้รับคำตอบว่าติดต่อคนที่รับงานและรับเงินไปไม่ได้ ซึ่งมีผู้เสียหายประมาณ 250 คน


เช่นเดียวกับ นายธนายุทธ อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดสกลนคร คนนี้โอนเงินไป 120,000 บาท และเหมารถเดินทางมาจากจังหวัดสกลนคร ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า ได้รับการชักชวนติดต่อจาก นางสาวออย โดยมีการโอนเงินผ่าน นางสาวออย เพื่อหวังได้ไปทำงาน เนื่องจากมีการระบุเชิญชวนว่าหากไปทำงานจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 70,000


โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมเงินกว่าสองแสนบาท แต่จะต้องจ่ายก่อน 120,000 บาท ที่เหลือหักจากเงินเดือน ที่ตนเองหลงเชื่อใจเพราะมีการบอกกันปากต่อปากว่าสามารถพาไปทำงานได้จริง มีคนเคยไปแล้วหลายคน จึงหลงเชื่อโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับ นางสาวออยไป จนมีการนัดหมายให้มาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในคืนนี้เพื่อเดินทาง ซึ่งตนเองก็มารอตั้งแต่เช้าจนใกล้ถึงเวลากลับไม่มีไฟท์หรือตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด


ขณะที่ นางสาวออย อายุ 28 ปี คนนี้คือหญิงสาวนายหน้าที่จัดหาและชักชวนกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดว่าจะพาไปทำงานในออสเตรีย และเป็นบุคคลที่ผู้เสียหายทั้งหมดโอนเงินผ่านบัญชี ซึ่งเจ้าตัวก็เดินทางมาขอลงบันทึกประจำวันเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยอ้างว่าเธอก็ตกเป็นผู้เสียหาย ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเราว่า ตนเองไปรู้จักรกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันคนหนึ่ง เธอชื่อว่า ฟ้า ได้มาชักชวนเธอว่าสามารถพาคนไทยไปทำงานที่ประเทศออสเตรียได้ หากเธอ ก็คือ นางสาวออย คนนี้ สามารถหาคนไปทำงานที่ออสเตรียได้ เธอจะได้ค่าตอบแทนหัวละ 2,000 บาท


ส่วนใครที่จะไปทำงานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตั้งแต่ 30,000 - 60,000 บาท หรือบางคนหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แล้วแต่ระยะเวลาที่จะอยู่ทำงานที่นั่น โดยเธอจึงเอาเรื่องราวดังกล่าวไปบอกกับญาติพี่น้องของตน ว่าหากใครจะไปสามรถติดต่อเธอได้และโอนค่าใช้จ่ายผ่านเธอ ซึ่งพอมีเงินรายได้เข้ามา เธอก็จะเบิกเงินนั้นฝากเป็นเช็ดพร้อมกับเอกสารต่างๆของผู้เสียหาย นัดมอบเช็ดและเอกสารให้กับ นางสาวฟ้า ซึ่งอ้างว่าทำงานในสถานทูตออสเตรียประจำประเทศไทย


โดยทุกครั้งที่มีเงินเข้ามาผ่านบัญชีตนเอง จากผู้เสียหายที่ต้องการเดินทาง ตนเองก็จะเบิกเงินฝากเป็นเช็ดให้กับนางสาวฟ้าและนัดมอบเช็ดกับนางสาวฟ้าที่หน้าสถานทูตออสเตรีย ที่นางสาวฟ้าอ้างว่าทำงานอยู่ในสถานทูต ซึ่งรวมผู้เสียหายแล้วประมาณ 250 คน รวมเป็นเงินที่นำฝากผ่านเช็ดให้กับนางสาวฟ้าไปรวมกว่า 12 ล้านบาท หลังจากที่ส่งมอบเงินและเอกสารของผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว


ทางด้าน นางสาวฟ้า บอกว่าจะจัดการการเดินทางทั้งหมดให้ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางในค่ำคืนนี้ โดยให้ผู้เสียนำพาสปอร์ตมาแสดงที่เคาน์เตอร์ของสายการบินเท่านั้น จึงนัดผู้เสียหายทั้งหมดมาเจอกันที่สนามบิน จนใกล้เวลาไปเช็ดบอร์ดดิ้งการ์ดหรือตั๋วเครื่องบินกลับไม่พบข้อมูลการเดินทางไม่มีรายชื่อแต่อย่างใด พอโทรกลับไปหานางสาวฟ้ากลับติดต่อไม่ได้ จึงพาผู้เสียหายทั้งหมดมาพบตำรวจ


ขณะที่ ร.ต.อ.ชนธัญ พรหมรักษา รอง สว.(สอบสวน) สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแนะนำกลุ่มผู้เสียหาย เบื้องต้นผู้เสียหายจะต้องแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่มีการโอนเงิน แต่เนื่องด้วยผู้เสียหายมีจำนวนมากและมูลค่าความเสียหายเยอะ จึงมีการแนะนำให้กลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อสะดวกกับการทำสำนวนคดี


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/WIcJHMWPVyY

คุณอาจสนใจ

Related News