สังคม
หักเงินเดือน 3 พนง.เทศบาล ชดใช้หนี้ลุงผูกคอจบชีวิต ครอบครัวเผาศพแล้ว ไร้เงาลูกหนี้มาร่วมพิธี
โดย passamon_a
22 ธ.ค. 2567
11.1K views
จากกรณี นายเจริญ เอมเสริม อายุ 61 ปี อดีตพนักงานราชการเทศบาลตำบลลำลูกกา ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอ หลังจากถูกเพื่อนพนักงานภายในเทศบาลแห่งหนึ่งยืมเงิน และไม่ยอมใช้หนี้คืน แต่กลับใช้ชีวิตกินดีอยู่ดี
ซึ่งกล้องวงจรปิดภายในเทศบาลตำบลลำลูกกา สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะที่นายเจริญ ตัดสินใจผูกคอตายใต้ต้นไม้หน้าที่ทำการเทศบาลตำบลลำลูกกา เมื่อเวลา 02.40 น. ประมาณวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งจากภาพกล้องวงจรปิดจะเห็นว่านายเจริญปั่นจักรยานเข้ามาที่ทำการเทศบาลตำบลลำลูกกา เมื่อเวลา 02.39 น. ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ก็ปั่นจักรยานออกมาจอดที่บริเวณใต้ต้นไม้หน้าเทศบาล ก่อนจะพยายามใช้เชือกคล้องกับกิ่งไม้ โดยพยายามอยู่ประมาณ 10 นาที จนสุดท้ายตัดสินใจทิ้งตัวลงมา ในเวลา 02.57 น. และแน่นิ่งไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่เก็บขยะเข้าเวรตอนเช้าเจอกับร่างของนายเจริญ ห้อยอยู่กับต้นไม้ ในเวลาประมาณ 03.30 น. จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่และครอบครัว ซึ่งจากการตรวจสอบจดหมายฉบับหนึ่งเขียนด้วยลายมือ ในกระเป๋ากางเกงของผู้เสียชีวิต โดยใจความสำคัญบอกถึงความอัดอั้นตันใจที่ถูกเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลลำลูกกา 4 คน ยืมเงินไป ซึ่งในจดหมายมาการฝากฝังให้นายกฯแสน ซึ่งเป็นนายกเทศบาลตำบลลำลูกกาช่วยทวงหนี้ให้
วันที่ 21 ธ.ค.67 ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายกิตติเดช ลานทอง นายกเทศมนตรีตำบลลำลูกกา เปิดเผยว่า ตนเองรู้จักกับตัวนายเจริญ เอมเสริม ผู้เสียชีวิตมานานแล้ว โดยนายเจริญเกษียณได้ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้นายเจริญทำหน้าที่เป็นพนักงานประจำส่งเอกสารระหว่างอำเภอ และเทศบาลลำลูกกา ที่ผ่านมานายเจริญไม่เคยเข้ามาพูดคุยกับตนเรื่องการโดนยืมเงินมาก่อน เพราะถ้าหากนายเจริญมาบอกกับตน ตนยืนยันว่าจะช่วยเหลือเต็มที่ สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ตนก็รู้สึกเสียใจกับการจากไปของนายเจริญเช่นเดียวกัน
โดยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และได้มีการอ่านจดหมายที่นายเจริญเขียนไว้ มีคำขอร้องถึงตนให้เข้ามาช่วยเหลือ ตนจึงได้เรียกเจ้าหน้าที่เทศบาล 3 คนที่มีรายชื่ออยู่ในจดหมาย พร้อมด้วยปลัดอำเภอ นางสมบัติ นิติกรณ์ และหัวหน้าของทั้ง 3 คน โดยมีปลัดอำเภอเป็นคนสอบปากคำด้วยตนเอง ซึ่งจากการสอบปากคำทั้งสามคนก็ยอมรับว่ามีการยืมเงินนายเจริญมาจริง แต่บางคนก็ตัวเลขไม่ตรงกับในจดหมายที่เขียนไว้ ซึ่งทางปลัดอำเภอก็ได้มีการพูดกับทั้งสามคนว่า “อยู่ที่ใจของทั้งสามคน ต้องบอกความจริง ถ้าไม่จริงก็จะติดใจจนวันตาย”
โดยคนแรก (ต๋อม) ยอดเงินคือ 750,000 บาท แต่เจ้าตัวอ้างว่ายืมไปเพียงแค่ 34,000 บาท คนที่สอง (สมภพ) ยอดเงิน 40,000 บาท อ้างว่าใช้เงินสดไปแล้ว 30,000 บาท เหลือหนี้เพียง 10,000 บาท คนที่ 3 (นก) ยอดเงิน 30,000 บาท ซึ่งเจ้าตัวยอมรับจริงว่ายืม และอีกที่ 1 คนไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของเทศบาลลำลูกกานั้น มียอดอยู่ 25,000 บาท ตนจึงให้นิติกรทำบันทึก และจะทำการหักหนี้จากเงินเดือนของทั้ง 3 คน โดยจะนำเงินที่หักนั้นมาใช้หนี้ให้กับนายเจริญ โดยจะนำเงินที่ได้มานั้นให้พี่สาวนายเจริญอีกที โดยผ่านตนที่เป็นคนกลาง ซึ่งจะผ่อนให้กับพี่สาวของผู้ตายคนละ 2000 บาทต่อเดือน โดยจะเริ่มหักตั้งแต่สิ้นเดือนนี้เป็นต้นไป
ส่วนประเด็นที่ในจดหมายมีการเขียนไว้ว่าต้องนำเงินที่ได้มานั้นไปชำระให้กับเจ้าหนี้ของนายเจริญด้วยนั้น นายกิตติเดช ระบุว่าไม่ทราบเรื่องหนี้ตรงนั้น แต่มีข้อมูลว่านายเจริญมีการไปยืมเงินมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนายเจริญมีเงินบำนาญอยู่ประมาณ 200,000 บาท ก็จะให้พี่สาวเป็นผู้จัดการมรดก เทศบาลก็จะโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับพี่สาวของนายเจริญ และจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้หักลบกลบหนี้ที่นายเจริญเคยกู้หนี้ยืมสินมา เพื่อที่จะทำตามสิ่งที่ผู้เสียชีวิตร้องขอ
พร้อมบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยทราบเรื่อง และรู้เพียงแค่ว่าการกู้หนี้ยืมสินในครั้งนี้น่าจะเป็นการให้ยืมกันระหว่างเพื่อนฝูง เพราะทั้งหมดที่มีการยืมเงินกันนั้นเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันกับนายเจริญ จึงไม่ได้มีการทำสัญญากู้ยืมไว้ ส่วนเรื่องดังกล่าวเกิดก่อนที่ตนจะมาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลลำลูกกา และคืนก่อนเกิดเหตุนายเจริญก็ไม่เคยเข้ามาทวงถามหนี้ภายในเทศบาลและไม่เคยคุยเรื่องนี้กับใคร ซึ่งเรื่องหนี้ตนก็เพิ่งมาทราบภายหลังจากที่เกิดเหตุและมาอ่านจดหมาย
เมื่อถามว่ากรณีเช่นนี้สามารถเอาเปรียบทางวินัยได้หรือไม่ นายกิตติเดช ระบุว่า เป็นเงินที่ยืมกันโดยเสน่หาด้วยการรู้จักกัน ซึ่งจะมีการปรึกษาหลายส่วนมีความเห็นว่าบุคคลทั้งสามคนก็ควรจะใช้หนี้ให้กับผู้ที่เสียชีวิต ต่อให้จะเป็นเงินที่จำนวนมากน้อย ก็เป็นเงินของผู้เสียชีวิต เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งสามคน ตนก็ได้เรียกมาว่ากล่าวตักเตือนเป็นที่เรียบร้อย เพราะไม่สามารถที่จะลงโทษได้เนื่องจากเงินที่มีความเสียหายนั้นไม่ใช่เงินของหลวง
ต่อมา นางสาวสมบัติ เอมเสริม พี่สาวของผู้เสียชีวิต เล่าว่า ตนเองอาศัยอยู่น้องชาย 2 คน ต่างคนต่างไม่มีครอบครัว อาหารก็ต่างคนต่างซื้อ ซึ่งปกติน้องชายเวลาอยู่ในบ้านจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด แต่เวลาอยู่ที่ทำงานก็เป็นคนสดใสร่าเริงเป็นที่รักของเพื่อน แต่ช่วงหลังจากเกษียณสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในการใช้จ่ายเงิน รวมถึงน้องชายชอบเก็บตัวเงียบอยู่ภายในห้องนอน จึงถามน้องชายว่าเกษียณแล้วเงินพอใช้ไหม ซึ่งตอนแรกน้องชายก็ไม่ยอมบอกความจริง ถามไปถามมาน้องชายจึงยอมรับว่าได้ให้คนยืมเงินไป แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร บอกแค่ว่าเป็นผู้ชาย แต่ตนเองไม่รู้ว่าใคร เพราะไม่เคยรู้จักเพื่อนของน้องชาย พร้อมทั้งบอกว่าตนเองได้กู้ยืมเงินมา เพราะเงินไม่พอใช้
ซึ่งในวันเกิดเหตุตนก็เห็นน้องชายอาบน้ำเข้าห้องนอนตามปกติ มารู้ตัวอีกทีในช่วงเช้ามืดมาเจ้าหน้าที่เทศบาลโทรศัพท์มาบอก หลังจากนั้นนายกเทศมนตรีได้เรียกตนมาเจรจากับลูกหนี้ของน้องชายทั้ง 3 คน ทำให้ได้เห็นหน้าในวันนั้น ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้ติดใจที่เขาอ้างว่ายอดเงินยืมไม่ตรงกับที่นานเจริญเขียนในจดหมาย เพราะฝ่ายตนเองไม่มีหลักฐานที่จะเอามาต่อสู้ หรือโต้แย้งกับเขาได้ เมื่อบอกว่าเท่าไรก็คงต้องเท่านั้น มีแค่คน 4 คนเท่านั้นที่เขาจะรู้ ซึ่งทางนายกฯเทศมนตรีและปลัดเทศบาลก็ได้ทวงถามหลักฐานแทนแล้ว จึงคิดซะว่าเป็นกรรมของน้องชายมันจบไปแล้วจะได้สบายใจทั้ง 2 ฝ่าย และเงินนี้ก็ไม่ใช่ของตนเอง ซึ่งลูกหนี้ก็รับปากว่าจะคืน นายกฯรับปากจะดำเนินการให้ ตนเป็นคนนอก ไม่สามารถรับเงินเองได้ นายกฯก็เป็นธุระรับมาให้ ไม่อยากจะให้มายุ่งกับตนเองแล้ว ตอนนี้รู้สึกเครียดมาก ที่ต้องคอยหลบนักข่าว เพราะไม่อยากมีข่าว พร้อมกล่าวขอบคุณนายกเทศมนตรีตำบลลำลูกกาที่ช่วยเหลือในครั้งนี้
ด้าน พ.ต.ท.อิทธิกร สง่ากร สารวัตรสืบสวน สภ.ลำลูกกา เปิดเผยว่า ทางคดีจากการสืบสวนเบื้องต้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากครอบครัวติดใจในประเด็นไหนทางตำรวจจะลงไปตรวจสอบในเชิงลึกอีกครั้ง ทั้งผู้ที่ถูกกล่าวถึงในจดหมายและแวดล้อมต่าง ๆ
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/mIJ8HIupI4E
แท็กที่เกี่ยวข้อง ปทุมธานี ,เจ้าหนี้ผูกคอจบชีวิต ,เจ้าหนี้ฆ่าตัวตาย