สังคม
‘ทนายอาคม’ บุกคุกเจรจา ‘ตั้ม’ เผยไม่สำนึก สู้หัวชนฝา ยันมาเป็นทนายให้ภรรยาเท่านั้น
โดย weerawit_c
23 พ.ย. 2567
192 views
ช่วงเช้าวานนี้ (22 พ.ย.67) ทนายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของนาง ปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือ คุณเดือน ภรรยาของทนายตั้ม เดินทางมาเยี่ยมนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อขอรายละเอียดทางคดีของภรรยาทนายตั้ม
ก่อนจะเข้าไปในเรือนจำทนายอาคม เปิดเผยกับนักข่าวว่า แม้เขาจะมีปัญหากับทนายตั้ม จนไม่สามารถร่วมงานกันได้อีก แต่ภรรยาของทนายตั้มสนิทกับครอบครัวของเขา และภรรยาของเขาก็ร้องขอให้มาช่วยดูคดี จึงตัดสินใจมาเป็นทนายความให้ภรรยาทนายตั้ม ซึ่งเมื่อวันก่อน (21พ.ย.67) เขาได้เข้าไปพูดคุยกับคุณเดือน ภรรยาทนายตั้มมาแล้ว เจ้าตัวยอมรับว่า รู้ว่าเงินได้มาจากพี่อ้อย แต่ไม่ทราบว่าทนายตั้มได้มาอย่างไร ซึ่งท่าทีของเธอดูเครียด และยังถามถึงเรื่องการประกันตัว จึงบอกให้รอการสืบสวนคืบหน้าไปมากกว่านี้ก่อน
ดังนั้นประเด็นที่จะเข้าไปคุยกับทนายตั้มครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่คุณเดือนรู้เห็นเรื่องที่ทนายตั้มโอนทรัพย์สินให้หรือไม่ และสิ่งที่สังคมอยากรู้ว่า เป็นผัวเมียกัน ผัวไปทำอะไรมา เมียจะรู้หรือไม่ และรู้ลึกมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเรื่องGPS ที่มีการล็อกอินในช่วงเดือนกันยา 2567 อยากทราบว่าล็อกอินเข้าไปทำไม ทั้งที่ส่งมอบรถไปแล้วตั้ง 9 เดือน และพินัยกรรมของคุณอ้อย มีการแก้ไข แล้วใส่ชื่อทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกจริงหรือไม่ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับเรื่องรับลูกทนายตั้มเป็นบุตรบุญธรรมอย่างไร
ขณะที่ทนายเกิดผล ก็เข้ามาเยี่ยมทนายตั้มเช่นกัน แต่ทนายอาคม บอกว่า ไม่รู้ว่าจะได้เยี่ยมไหม เพราะไม่อยู่ในรายชื่อญาติ และไม่ใช่ทนายความส่วนตัว แต่ทนายเกิดผลได้เตรียมใบแต่งตั้งทนายมาด้วย ส่วนจะแต่งตั้งหรือไม่เป็นการตัดสินใจของทนายตั้ม ทนายสายหยุดยังคงเป็นทนายหลักเหมือนเดิม และเท่าที่ได้คุยกับทนายสายหยุด ก็ยอมรับว่า อยากให้ตัวทนายอาคมเข้ามาช่วยคดีของคุณเดือน เพราะคดีของทนายตั้มก็งอกขึ้นมาหลายเรื่องเนื้อหาเยอะและซับซ้อน พอนักข่าวถามว่าซับซ้อนมาจากสิ่งที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ทนายอาคม บอกว่า "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา"
หลังใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงเข้าเยี่ยมทนายตั้ม ทนายอาคม ก็ออกมาเปิดเผยกับนักข่าวที่ดักรออยู่ด้านหน้าเรือนจำว่า เท่าที่พูดคุยกับทนายตั้ม เรื่องคดีของคุณเดือน เพราะคุณเดือนรับโอนกรรมสิทธิ์ ที่บ้านหรูย่านตลิ่งชัน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้กันกับที่รับโอนเงินมา 71 ล้านบาท ห่างกันเพียงเดือนนิดๆมันก็สามารถบ่งชี้ได้ว่า เจตนาที่จะทำแพลตฟอร์มฉลากกินแบ่งรัฐบาลมีอยู่จริงหรือไม่
ทั้งนี้ คดีของคุณเดือนไปเกี่ยวข้องในขั้นตอนการไปรับโอนกรรมสิทธิ์ ถ้าบอกในแง่ของกฎหมายการกระทำมันมีองค์ประกอบอยู่ 2 องค์ประกอบ คือ ภายนอกและภายใน ภายนอกคือการลงลายมือชื่อรับโอนนั้นต้องเกิดขึ้นจริง ส่วนองค์ประกอบภายใน ต้องดูว่ามีเจตนาที่จะไปทำความผิดหรือไม่ รู้หรือไม่รู้ซึ่งกระบวนการนี้ต้องไปตรวจสอบ
โดยเท่าที่พูดคุย ทนาย อาคม เชื่อว่า ทนายตั้ม เหมือนอยากได้คำแนะนำในแง่การต่อสู้คดีมากกว่าคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของบรรเทาโทษ เพราะทนายตั้มยังยืนยันว่า ภรรยา ไม่ทราบที่มาของเงินว่าได้มาจากการฉ้อโกง แล้วหุ้นที่ภรรยามี ก็อยู่ในบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิม เท่านั้น จำนวน 45% พอฟังก็หนักใจแทน เพราะดูท่าทีแล้วทนายตั้มยังต้องการที่จะสู้คดีหัวชนฝาแน่นอน แปลความได้ว่า ยังไม่รู้สำนึก นอกจากนี้ทนายอาคมยังตั้งขอสังเกตอีกว่า พฤติกรรมหลายอย่างของทนายตั้มมันน่าสงสัย ตั้งแต่สัญญาพินัยกรรม การโอนเงิน การใช้เงิน มันส่อพิรุธไปในทางที่ไม่เป็นผลดีกับทนายตั้ม
ทนายอาคม ยอมรับว่าได้คุยเรื่องคลิปพี่อ้อยที่คุยกับคุณสนธิ เรื่องเงิน 39 ล้านด้วย บอกทนายตั้มไปตรงๆ ว่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีของทนายตั้ม แม้ว่าหลักของฉ้อโกง โดยทุจริต คือ หลอกลวงปกปิดความจริงอันควรบอกในที่แจ้ง ตรงนี้อาจไม่มีพฤติกรรมของทนายตั้มเข้าไปเกี่ยว แต่ที่จะเกี่ยว คือ การหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินเพื่อตนเองหรือบุคคลที่สาม คำว่า "บุคคลที่สาม" น่าจะไปเกี่ยวข้องกับทนายตั้ม
ส่วนเรื่องพินัยกรรม ทนายตั้มยอมรับว่ามีชื่อเขาเป็นผู้จัดการมรดกจริง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นฉบับที่ 1 หรือฉบับที่ 2 เนื่องจากว่ามีการแก้ไขหลายครั้ง แต่ได้ทำลายทิ้งไปหมดแล้ว
ส่วน GPS ที่ติดมากับรถเบนซ์ ทนายตั้มยืนยันว่าไม่ได้มีการล็อกอินเข้าไป หลังจากที่มีการส่งมอบรถไปแล้ว และในโทรศัพท์ของทนายตั้มก็ไม่มีแจ้งเตือนหรือแอพพลิเคชั่นของรถเบนซ์ ซึ่งตนได้ถามว่าทำไมในสัญญา GPS ที่จดทะเบียนกับรถเบนซ์ถึงเป็นชื่อของทนายตั้ม ทนายตั้มก็บอกว่าไม่ทราบอาจจะเป็นเรื่องที่ทางเต้นท์รถดำเนินการให้ และทุกครั้งที่พี่อ้อยมาเมืองไทยก็จะมีโปรแกรมไปเที่ยวว่าอยากไปไหน มีบ้างที่ทนายตั้มเสนอ แต่สุดท้ายพี่อ้อยจะเป็นคนเลือก
นักข่าวจึงถามทนายอาคมว่า หากทนายสายหยุดไม่รับทำคดี 39 ล้าน ทนายอาคมจะมารับทำคดีแทนไหม ทนายอาคมตอบทันทีว่า ไม่ทำอยู่แล้วมันมีเหตุผลส่วนตัวระหว่างผมกับเขา เล่าไปแล้วรับไม่ได้แน่นอน หนักกว่านี้อีกเยอะเรียกว่าจะไม่เผาผีกันเลย ส่วนตัวคิดว่าคนที่จะคุยหรือคนที่รักทนายตั้มเหลือน้อยแล้ว ที่มาคุยวันนี้ก็ถือว่าเป็นบุญของทนายตั้มแล้ว
ส่วนทนายเกิดผลสุดท้ายก็ไม่ได้เข้าเยี่ยมทนายตั้ม เพราะไม่มีรายชื่อที่จะเข้าเยี่ยมได้ และไม่ได้เป็นทนายความส่วนตัว แต่ทนายอาคมได้นำเอกสารแต่งตั้ฝงทนายความของทนายเกิดผลไปให้ทนายตั้ม และบอกให้ทราบ ซึ่งสุดท้ายทนายตั้มก็ไม่ได้เซ็น
ทั้งนี้ วานนี้ (23 พ.ย.67) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เวลา 10.30 น. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม
โดนนายอัจฉริยะ เปิดเผยว่าวันนี้ตนเดินทางให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีของทนายตั้มในฐานะพยานแวดล้อม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเชิญมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วแต่ตนได้มีการขอเลื่อนมาเป็นวันนี้หลักฐานที่จะนำมายื่นนั้นเป็นหลักฐานที่สำคัญ เรื่องที่ทนายตั้มร่วมกับนาย ส. (เจ้าของเพจกะโหลกแดง ) มาฟ้องตนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง ซึ่งมีการเคยใช้สื่อเป็นเครื่องมือ มีการสร้างไลน์ปลอม หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จ และ ยืมมือศาล ฟ้องดำเนินคดีกับตนเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ และชื่อเสียงในอนาคตหากมีการชนะคดีตนได้
ซึ่งที่มาให้ปากคำในวันนี้จะทำให้เห็นถึงนิสัยของทนายตั้มที่ผ่านมา มีการปลอมแปลงเอกสาร ในการที่จะไปเบิกความต่อศาลที่จังหวัพระนครศรีอยุธยาซึ่งศาลได้มีคำตัดสินสั่งยกฟ้องตนทุกคดีที่ผ่านมา มีเรื่องของมาตรา 100/2 การ กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทนายตั้มได้มีการปลอมบันทึกการจับกุม และสร้างหลักฐานเท็จที่สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 ซึ่งตนมีพยานหลักฐานที่ยืนยันแล้วว่ามีการปลอมแปลง บันทึกการจับกุมก่อนที่จะนำเรื่องทั้งหมดมาฟ้องตนที่ศาลจังหวัดสมุทรสาครในการแจ้งความเท็จแต่ศาลก็ได้มีคำพิพากษาสั่งยกฟ้องตนเป็นที่เรียบร้อย
แท็กที่เกี่ยวข้อง ทนายอาคม ,ทนายตั้ม