สังคม

‘ทนายธรรมราช’ ยันเอาเรื่องถึงที่สุด ถูกตบกลางวงสื่อ ‘หนุ่มมือตบ’ เผยเหตุลงมือ ไม่พอใจปมพาดพิงศาสนา

โดย petchpawee_k

9 ชั่วโมงที่แล้ว

133 views

“ทนายธรรมราช” โดนตบปากกลางวงสื่อ หลังร้องเอาผิด “อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม” ยันเอาเรื่องถึงที่สุด ลั่น  "คนใจร้อน นอนที่แคบ" ฝากถึงกระแสสังคม แสดงความเห็นได้ เหตุเป็นโลกธรรม แต่ความเห็นนั้นสะท้อนตัวตน ส่วนสภาพจิตใจปกติ ไม่ท้อ เดินหน้าทำงานต่อ  ขณะที่มือตบเผย "ไม่ได้แค้น" แค่ตบ "นักแซะ" ด้านตำรวจไม่ให้ประกันรายนี้ เตรียมส่งฝากขังต่อศาลเช้านี้ (2พ.ย.67)   ส่วนผู้ร่วมก่อเหตุอีกราย รุดพบตำรวจ บอกปฏิเสธข้อหา พร้อมแจ้งความกลับ “ทนายธรรมราช” ข้อหาทำร้ายร่างกายเช่นกัน  ได้ประกันชั่วคราวหลังมาพบตำรวจเอง

ช่วงเช้าวานนี้ (1 พ.ย.2567) ทนายธรรมราช สาระปัญญา เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินคดีกับ “อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม” ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา ตามมาตรา 206 จากกรณีไปให้สัมภาษณ์ในรายการ "โหนกระแส" เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา และพูดทำนองว่า "พระได้เงินมาจากคนทำบุญ เพื่อนำไปสร้างวัด เพื่อให้หมาเดินเกาขี้กลาก และให้นกขี้ใส่ และที่ต้องสร้างวัดให้สวยงามใหญ่โต ก็เพื่อให้คนเข้ามาทำบุญ"  อันเป็นการเหยียดหยามพุทธศาสนา เข้าหลักองค์ประกอบความผิด ส่วนจะมีเจตนาหรือไม่นั้น ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ


นอกจากนี้ ยังมาสอบถามเรื่องคดีความอีก 3 คดี ได้แก่คดีเชื่อมจิต ที่ตนเองถูกแจ้งความจากกรณีพูดว่า "ลัทธิเชื่อมจิตเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า" โดยได้นำพยานมาให้การเพิ่มเติม  คดีที่ตนเองร้องตรวจสอบยึดทรัพย์ภรรยาของรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัด และตรวจสอบเรื่องที่ "อี้ แทนคุณ" และ "ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง" พาอดีตลูกความแจ้งจับตนเองกรณียักยอกรถจักรยานยนต์ดูคาติ โดยหากไม่ได้แจ้งความจริง แต่แค่มาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนเพื่อสร้างกระแส ตนเองจะแจ้งความกลับ


 โดยระหว่างที่ทนายธรรมราช กำลังให้สัมภาษณ์เรื่อง “อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม” และเรื่องที่ "มหาหมี" หรือ ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พาดพิงเกี่ยวกับตนเองเรื่องลัทธิเชื่อมจิตอยู่นั้น  อยู่ๆ ก็มีชายปริศนาคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายทนายธรรมราช ด้วยการใช้ฝ่ามือตบเข้าที่กลางหน้า เสียงดังเปรี๊ยะ  ก่อนจะเกิดการชุลมุนขึ้น ทีมงานของทนายธรรมราชได้พยายามลากตัวชายคนดังกล่าวออกไป


ส่วนทนายธรรมราชก็ปรี่พุ่งเข้าไปหาคู่กรณี จนถูกชายอีกคนเข้ามาล็อกคอทนายธรรมราชไว้ ก่อนจะต่อยทนายธรรมราชเข้าที่ใบหน้าไปอีก 1 หมัด จนหน้าเขียว  ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาแยกทั้ง 2 ออกจากกัน และนำตัวผู้ก่อเหตุเข้าไปในศูนย์รับแจ้งความ โดยผู้ก่อเหตุได้ตะโกนต่อว่าทนายธรรมราชว่า "ดูหมิ่นศาสนา" ด้วย  ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกัน และนำตัวผู้ก่อเหตุเข้าไปควบคุมตัวสอบปากคำ


ด้านทนายธรรมราช หลังเกิดเรื่องก็กลับมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนต่อ และบอกว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมี 3 คน โดยตำรวจได้ควบคุมตัว 1 คนที่ทำร้ายตนเองไว้ในห้องขังแล้ว และยืนยันว่าไม่รู้จักคนกลุ่มนี้มาก่อน ส่วนจะเป็นใครนั้นให้ตำรวจสอบสวนขยายผล ว่าเป็นคนจากกลุ่มไหน ใครอยู่เบื้องหลังหรือสั่งการมาให้ทำเช่นนี้ โดยตนเองจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาอย่างเต็มที่ แล้วเดี๋ยวคนเหล่านี้จะได้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต และการมาต่อยตนเองต่อหน้าสื่อเช่นนี้ หากจะมาขอเคลียร์หลังบ้าน ตนเองจะไม่ยอมความแน่นอน เพราะเป็นการกระทำอุกอาจ ก่อเหตุที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นพวกหมาลอบกัด หน้าตัวเมีย เพราะลอบมาทำร้ายจากด้านหลัง ไม่ทราบว่ามีการจ้างมาหรือไม่ ยังไม่สงสัยกลุ่มไหนเป็นพิเศษ พฤติกรรมรุนแรงแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น จากนี้จะเดินหน้าต่อ ตนไม่กลัวว่าแบ็คจะเป็นใคร ตนไม่กลัวไม่กังวลการใช้ชีวิตต่อไป เพราะที่ผ่าน เคยโดนลูกปืนมาก่อนแล้ว

ต่อมา เวลา 12.15 น. ตำรวจได้ควบคุมตัว ชายที่ก่อเหตุตบปากทนายธรรมราช ออกมาเพื่อขึ้นรถนำตัวไปดำเนินคดีที่ สน.พหลโยธิน โดยนักข่าวได้พยายามสอบถามถึงมูลเหตุจูงใจว่าทำไปเพราะอะไร ผู้ก่อเหตุ ตอบว่า “นักแซะไงพี่” นักข่าวถามต่อว่าแค้นอะไรทนายธรรมราช ผู้ก่อเหตุบอกว่า “ไม่ได้แค้น” และไม่พูดอะไรอีก ก่อนถูกคุมตัวขึ้นรถไป


จากนั้นทนายธรรมราช เปิดใจอีกครั้งหลังจากตำรวจคุมตัวผู้ก่อเหตุไปยังสน.พหลโยธิน ระบุว่าเบื้องต้นตนยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับผู้ก่อเหตุ เพราะตำรวจล็อคตัวเข้าห้องควบคุมผู้ต้องขังไป ส่วนที่ผู้ก่อเหตุพูดกับนักข่าวว่าตนชอบแซะ ตนมองว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ตนไม่ได้แซะพ่อเขา ตนจะพูดเฉพาะประเด็นที่มาแซะตน เป็นเรื่องๆไป ส่วนจะเป็นประเด็นขัดแย้งเรื่องศาสนาหรือไม่ ตนก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ต้องให้ตำรวจสืบสวนสอบสวนก่อน แต่ที่ผ่านมาก็มีข้อขัดแย้งหลายเรื่อง ที่ตนไปให้ความเห็นทางข้อกฎหมาย ทั้งนี้ ยังไม่ได้ปักใจว่าเป็นเรื่องไหน แต่ได้ขอให้ตำรวจตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ก่อเหตุ  ว่าก่อนจะมาทำร้ายตนได้พูดคุยอะไรกับใครบ้าง พร้อมฝากบอกว่า “ใจร้อน ก็นอนที่แคบ หน้าตัวเมีย มาตอนเผลอ หลังจากนี้ต้องโดนคดี และไม่มียอมความ"


อย่างไรก็ตามตนเคยโดนหนักกว่านี้ เคยถึงขั้นโดนลอบยิง อาชีพทนายความอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ถึงสืบไม่ได้ ยังไงตัวผู้ก่อเหตุก็ต้องรับผลของการกระทำก่อนอยู่แล้วเต็มๆ ตนจะคัดค้านการประกันตัว และไม่ยอมความในชั้นศาลด้วย


เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะต้องระวังตัวมากขึ้นหรือไม่ ทนายธรรมราช บอกว่า ปกติตนระวังตัวอยู่แล้ว และที่เดินทางมาแจ้งความที่นี่ เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของกองบังคับการปราบปราม ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจก็คงไม่ได้อยากให้เกิด  แต่หลังจากนี้ “คงจะต้องซื้อปืนเพิ่ม” ปกติตนก็มีพกปืนบ้าง เพราะทำงานทนายความ ต้องมีความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่าย


นักข่าวถามว่าสงสัยว่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องคดีเชื่อมจิตหรือไม่ ทนายธรรมราช ตอบว่า ตนประกอบอาชีพทนายความ แต่ละเดือนรับทำเป็น 10 คดี เยอะไปหมด จึงยังตอบไม่ได้ แต่เชื่อว่ากรณีนี้ยังไงก็สามารถตรวจสอบหาความเชื่อมโยงได้อยู่แล้ว กรรมมันทันตา


ทนายธรรมราช ชี้แจงด้วยว่า ที่ตนวิ่งไป ไม่ได้จะไปทำร้าย ตนมีสติ ซึ่งจริงๆ ตนจะชกคืนก็ได้แต่ไม่ทำ แค่ป้องปราม แต่ตนไปบอกให้จับไว้เพราะกลัวเขาหนี ตนต้องการให้ล็อคตัวเข้าห้องขังเลย เพราะพฤติกรรมแบบนี้มันอุกอาจ รุนแรง อยู่ในสถานที่ราชการด้วย


ส่วนที่มาก่อเหตุต่อหน้าสื่อมวลชน ก็เชื่อว่าเป็นเจตนาจะประจานตน คงเห็นว่าสื่อมาเยอะ สิ่งที่ผู้ก่อเหตุทำคงเพราะอยากดัง และเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ ซึ่งตนไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่ญาติพี่น้องตนจะยอมหรือไม่เป็นอีกเรื่อง


พร้อมฝากถึงคนที่เห็นต่างว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบบนิติรัฐ ตนคิดเห็นอย่างไร มีข้อขัดแย้งก็มาดำเนินการตามกฎหมาย ผิดถูกให้เจ้าหน้าที่ตัดสิน ไม่เคยชี้โทษใคร และไม่เคยไปทำร้ายใคร ถ้าไม่พอใจทำไมไม่มาดำเนินคดีกับตน ตนพร้อมรับผิดชอบในการกระทำอยู่แล้ว แต่เถียงกันขนาดไหน ตนก็ไม่เคยทำร้ายใคร  และคนที่ชอบใจพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นำไปโพสต์ต่างๆ ก็ขอย้อนถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง มองดูแล้วรับไม่ได้ ตนยืนยันว่ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ


ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ ได้พูดคุยกับอาจารย์น้องไนซ์แล้ว เพราะเขาเห็นข่าวแล้วโทรมาถาม ซึ่งก็ได้ให้กำลังใจตน บอกว่าไม่ควรจะโดนแบบนี้


ต่อมา ทนายธรรมราช เดินทางมาที่ สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งความผู้ก่อเหตุ 2 ราย คือ นายจารุเวศ หรือเต้ย และอีก 1 คนยังไม่ทราบชื่อ คือ ชายอีกคนที่ผมยาว ทราบชื่อ คือ นายพี ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย


ทนายธรรมราช กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าส่วนหนึ่งเป็นการเลียนแบบ และมองว่าเคสนี้ถูกจ้างมาอย่างแน่นอน ส่วนจะสืบไปถึงหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง


ส่วนประเด็นความรุนแรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฝากถึงทุกคนให้สังเกตดูว่าใครใช้ความรุนแรง และมีลัทธิไหนสอนเรื่องความรุนแรง  ให้ไปดูว่าความรุนแรงเกิดจากอะไร เกิดจากสื่อ เกิดจากพฤติกรรมเลียนแบบ และด้วยคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ยกระดับจิต หาดเป็นคนที่ปฏิบัติธรรม มีศีล มีธรรม เขาจะไม่ทำแบบนี้ กลุ่มพวกนี้เรียกว่ากลุ่มคนพาล และเขาคงไม่รู้ว่าจากนี้ เขาจะเจอกับอะไรบ้าง  เขาคงคิดว่าปรับ 500 แต่มันไม่ใช่ ขึ้นศาลแน่นอน เพราะคนไม่ยอมอยู่แล้ว


ทนายธรรมราช กล่าวว่า จากที่ถูกตบอาการคือรู้สึกเคล็ดคอเล็กน้อย  ตอนที่เขาเข้ามาทำร้ายช่วงแรกโดนบริเวณหน้าและตา ส่วนที่คอคือพวกผมยาวล็อกคอ  ความจริงถ้าตนโมโห ต้องชกเขาคืนแล้ว แต่บอกเพียงว่าจับไว้ๆ แต่ตอนนั้นจะอ้างบันดาลโทสะแล้วชกคืนก็ได้  ส่วนที่เขาตบแล้วนิ้วทิ่มตา หากตาบอดขึ้นมาจะทำยังไง จากนี้เขาต้องรับผิดชอบให้ไหว  หากเขามีลูกมีภรรยา ฝากบอกเลยว่าให้หาคนดูแลแทนได้เลย


ทั้งนี้ ยังฝากถึงกระแสสังคมว่า การแสดงความคิดเห็น เป็นโลกธรรม หมายความว่า ไม่ได้เอามาใส่ใจ ใครแสดงความคิดเห็นยังไงก็เป็นตัวตนของเขาแบบนั้น คนที่เขาไม่เห็นด้วยมันก็เยอะ ส่วนที่แสดงความคิดเห็นเรื่องความรุนแรงมีกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่ชอบความรุนแรง ส่วนสภาพจิตใจตอนนี้ ปกติเลย  ยังไม่ท้อถอย และจะเดินหน้าทำงานด้านนี้ต่อไป  ก่อนบอกว่าตนสงสัยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คนจ้างวานอย่างแน่นอน พร้อมใบ้ว่าคนนั้นคือ “หัวหน้า รปภ.” ที่อยู่ในกองปราบ  ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของนายจารุเวศ หรือ เต้ย ที่ สน.พหลโยธิน  ตำรวจสอบปากคำ สลับคุมตัวเจ้าห้องคุมขัง ก่อนนำมาสอบใหม่ รวม 4 รอบ  แต่ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า มีรายงานข้อมูลจากการสอบปากคำ ว่า นายจารุเวศ พงษ์ฉวี อายุ 28 ปี ผู้ก่อเหตุ ยอมรับสารภาพว่า ลงมือชกต่อยทนายธรรมราช เพียงคนเดียว ส่วนเพื่อนอีก 2 คน ไม่ได้ร่วมก่อเหตุแต่อย่างใด แค่มาด้วยกัน  ส่วนสาเหตุที่ลงมือเพราะก่อนหน้านี้เคยเห็นทนายธรรมราช โพสต์ข้อความพาดพิงเรื่องเกี่ยวกับมุสลิม ด้วยความที่ตนเองมีภรรยาเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม จึงเกิดความไม่พอใจ  เลยตั้งใจมาเพื่อจะมาถามทนายธรรมราช ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทนายธรรมราช ไม่ยอมตอบ จึงเกิดโมโห ตัดสินใจทำร้ายร่างกายทนายธรรมราชดังกล่าว


ช่วงหนึ่ง  นักข่าวพยายามสอบถามถึงสาเหตุที่ลงมือแต่ผู้ต้องหาตอบเพียงว่า รอแปบนึง เดี๋ยวออกมาชี้แจง เมื่อถามว่ามีข้อมูลบอกว่า ทำเพราะแค้นแทนภรรยาเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้ต้องหาบอกว่า ไม่  

จากนั้น มีรายงานว่า นายจารุเวศ หรือ นายเต้ย ผู้ต้องหา ได้ให้การเบื้องต้นว่า ตนเองกับเพื่อนอีก 2 คน คือ นายพี และนายบอส เป็นอาสากู้ภัยมูลนิธิหนึ่งอยู่แถวคลองเตย ได้เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพราะตั้งใจจะมาฟังการแถลงข่าวของทนายธรรมราช แต่ก่อนหน้านี้ ก็ไม่ชอบทนายธรรมราชอยู่แล้ว เพราะชอบแขวะคนนั้นคนนี้ไปทั่ว รวมถึงล่าสุดเพิ่งมีการโพสต์เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ซึ่งตนเองนั้นเป็นไทย-พุทธ แต่เติบโตมาในสุเหร่า จึงไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ยืนยันว่า ที่เดินทางมาครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำร้ายร่างกาย แต่ระหว่างที่ฟังแถลงข่าวก็รู้สึกว่าทนายธรรมราชพูดไม่รู้เรื่อง จึงโมโห และเข้าไปก่อเหตุ แต่ไม่ได้มีใครสั่งการมา  ส่วนนายพี ที่เข้าไปล็อคคอและพยายามต่อยทนายธรรมราช ก็จะเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ


กระทั่งเวลา 15.45 น. นายพี หนึ่งในคนที่ถูกทนายธรรมราชแจ้งความข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย เดินทางมาพบตำรวจที่ สน.พหลโยธิน


โดยนายพี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าว่า ตนและเพื่อนตั้งใจมาฟังทนายธรรมมราชแถลงข่าว ไม่ได้ตั้งใจมาทำร้ายร่างกาย  เพียงตั้งใจมาดูว่าจะพูดว่าอะไร  แค่พอมาฟังกลับพบว่าแซะคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ติดตามมา มองว่าทนายธรรมราชเขาปากดี ชอบดูหมิ่นศาสนา เช่น เอารูปอิสลามขี่ฮิปโปลงเฟซบุ๊ก แบบนี้ ขอถามหน่อยว่ามันสมควรหรือไม่ ส่วนตัวไม่ได้เป็นอิสลามแต่เพื่อนพี่น้องเป็นอิสลามกันเยอะ


นายพี ยังบอกว่า จะไม่ยอมรับในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย เพราะทนายธรรมราชทำร้ายร่างกายตนก่อน ด้วยการล็อกคอ ตนแค่ไปห้ามเท่านั้น  ส่วนกรณีที่ทนายธรรมราช บอกว่าจะเอาเรื่องถึงที่สุดนายพีบอกว่า ก็เรื่องของเขา ให้ไปว่ากันในชั้นศาล เพราะพร้อมสู้   และหลังจากให้ปากคำตำรวจ  ยืนยันว่าปฏิเสธในข้อกล่าวหาและได้แจ้งความกลับทนายธรรมราช ในข้อหาทำร้ายร่างกาย

ส่วนเรื่องการให้ประกันในชั้นพนักงานสอบสวนนั้น  เมื่อวานนี้ (1 พย.67) เวลาประมาณ  19.30 น. พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อหาทั้งสองคน คือ "ร่วมกันทำร้ายร่างกาย" โดยนายเต้ย ได้ให้การรับสารภาพ และไม่ได้มีการยื่นประกันตัวแต่อย่างใด ซึ่งในวันนี้ (2 พ.ย.67) พนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  ส่วนนายพีได้ให้การปฏิเสธ และให้ประกันตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ใด ๆ เนื่องจากผู้ต้องหามาพบพนักงานสอบสวนเอง และไม่มีพฤติกรรมหลบหนี



รับชมทางยูทูบที่ :   https://youtu.be/eIdGzKUL-aA

คุณอาจสนใจ

Related News