สังคม

แรงงานไทยในอิสราเอล เสียชีวิต 4 ราย หลังเกิดเหตุโจมตี – แม่สุดเศร้า ลูกชายตายในวันเกิดลูกตัวเอง

โดย petchpawee_k

11 ชั่วโมงที่แล้ว

44 views

กระทรวงต่างประเทศ เปิดรายชื่อ 4 คนไทยในอิสราเอล เสียชีวิตจากจรวดโจมตีจากฝั่งเลบานอน ขณะที่ "มาริษ" ร่อนหนังสือ​ประท้วงอิสราเอล ให้ยุติส่งเข้าพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมเรียกร้องให้ยับยั้งชั่งใจ ป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว พร้อมขอคนไทยชะลอการเดินทางไป อิสราเอล-ตะวันออกกลาง

วานนี้( 1 พ.ย.67 )นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เมื่อคืนวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ว่า มีคนไทยเสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 1 รายที่อิสราเอล จากเหตุยิงจรวดจากฝั่งเลบานอนไปยังเมืองเมตูลา ทางเหนือของอิสราเอลติดชายแดนเลบานอน

โดยมีรายชื่อผู้เสียชีวิต ดังนี้

1.นายอรรคพล วรรณไสย มีภูมิลำเภาอยู่ที่ จ.อุดรธานี

2. นายประหยัด พิลาศรัมย์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์

3. นายธนา ติจันทึก มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครราชสีมา

4. นายกวีศักดิ์ ปาปะนัง มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครราชสีมา

นอกจากนี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ได้แก่ นายฉัตรชัย ศิลป์ประเสริฐ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งกำลังได้รับการรักษาที่ในห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาล เมืองไฮฟา


ล่าสุดวันนี้ (2 พ.ย. 2567)  นายมาริษ​ เสงี่ยมพงษ์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ​ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุยิงจรวดโดยขอแสดงความเสียใจต่อญาติของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ 


ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างยิ่งที่จะชะลอการเดินทางของแรงงานไทยไปยังภูมิภาคดังกล่าว และกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เข้าใจดีว่าการเข้าไปทำงานของแรงงานไทยเพราะต้องการมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า​ แต่อยากจะขอความร่วมมือทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนดาวไทยว่า​ ณ​ ขณะนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดา แต่มีความขัดแย้งรุนแรง ดังนั้นขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายและประชาชนไม่เดินทางไปยังประเทศอิสราเอลและภูมิภาคตะวันออกกลาง

นายมาริษ​ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุเสียชีวิตของแรงงานไทย ​สถานทูตได้ทำการประท้วงไปยังหน่วยราชการของอิสราเอล เนื่องจากพื้นที่ที่แรงงานไทยเสียชีวิตนั้น เป็นพื้นที่ที่ทางการอิสราเอลประกาศเป็นพื้นที่ทางทหาร แต่มีความพยายามของนายจ้างชาวอิสราเอลที่นำแรงงานเข้าไปทำงานเป็นการชั่วคราวระยะสั้น 2-3 ชั่วโมง แม้จะเป็นระยะสั้นแต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีการโจมตีเกิดขึ้นเมื่อใด จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้รับข่าวร้ายและมีการสูญเสีย ที่สำคัญตนไม่ต้องการเห็นแรงงานไทยเสียชีวิตในภูมิภาตะวันออกกลางอีก​ จึงขอให้หน่วยราชการไทยร่วมกันช่วยชะลอการเดินทางเข้าไปทำงานของคนไทยในภูมิภาคดังกล่าว


เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์แล้วมีความน่าเป็นห่วงใช่หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วงแน่นอน กรณีการขยายตัวของสงครามมีแน่นอน แต่คงไม่อยู่ในสเกลที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นหรือมีการปะทะกันเป็นกรณี แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่ไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จึงใช้กรณีนี้เรียกร้องรัฐบาลอิสราเอลยุติการนำแรงงานไทยเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่อิสราเอลประกาศเป็นพื้นที่ต้องห้าม

นายมาริษ ​กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนยังได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลแล้ว ในฐานะที่ประเทศไทยเพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เราจึงมีหน้าที่ต้องแสดงจุดยืนในเรื่องสำคัญ จึงขอให้ช่วยใช้ความยับยั้งชั่งใจเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมขอให้ทุกฝ่ายหยุดการกระทำที่จะนำไปสู่การขยายตัวของสงคราม และต้องมานั่งเจรจาเพื่อหาทางยุติข้อขัดแย้ง บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติเป็นหลัก เพราะจุดยืนของไทยคือยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

-------------------

แม่เศร้าลูกชายตายในวันเกิดลูกตัวเอง ขณะลูกชายวัย 11 ขวบส่งคลิปให้พ่อ อวยพรวันเกิดสุดท้ายรู้ข่าวร้าย

วานนี้ ( 1 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านพักของ นายอรรคพล วรรณไสย ที่หมู่ 3 บ้านดงหมากหลอด ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี   หนึ่งในแรงงานไทยที่เสียชีวิต โดยพบว่ามีเพื่อนบ้านที่ทราบข่าว พากันมาให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต ขณะที่เจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดและจัดหางานจังหวัดอุดรธานี  ก็มาสอบถามข้อมูลเพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยา


นางบุญแปง อายุ 56 ปี แม่นายอัครพล เปิดเผยว่า ลูกชายไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลได้ 4 ปีแล้ว ไปทำงานสวนผลไม้เก็บแอบเปิ้ล  ทุกปีจะกลับมาเยี่ยมบ้าน  หลังสงครามอิสราเอลช่วงเดือน ต.ค.ปี 2566 ลูกชายก็เดินทางกลับมาบ้าน แล้วเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลใหม่อีกครั้ง ในช่วงเดือน ธ.ค.2566  ตนมารู้ว่าลูกชายเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 31 ต.ค. โดยเพื่อนรุ่นพี่ของลูกชายโทรมาบอกว่า “โจกับนายจ้างถูกระเบิด”  เมื่อได้ยินแบบนั้น ตนแทบช็อก ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา  เพราะลูกชายรักแม่มาก ไม่อยากให้แม่ทำงานหนัก  มักจะบอกแม่บ่อยๆ ว่าจากนี้ไปแม่จะสบายแล้ว ผมจะดูแลพ่อและแม่เอง  ทุกวันจะวีดีโอคอลมาหาพ่อแม่และคุยกับน้องเกฟ วัย 11 ขวบ  ลูกชายคนเดียวของเขาทุกวัน  พร้อมกับบอกให้แม่ทนเอาหน่อย เพราะปีหน้าจะกลับมาอยู่บ้านแล้ว


นางบุญแปง บอกว่า ลูกชายเป็นคนขยัน  ทำงานตลอด  อยู่ที่ประเทศไทยก็ทำแต่งาน ไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย  ไปทำงานต่างประเทศก็เก็บเงินเก็บทองมาสร้างบ้านให้แม่ ซื้อรถให้พ่อขับ ลูกกำลังจะตั้งหลักหาเงินสักก้อนกลับมาอยู่บ้าน  แต่ลูกก็มาเสียชีวิตก่อน ตอนนี้ทางหน่วยงานภาครัฐก็มาแจ้งสิทธิ์และแสดงความเสียใจแล้ว  ส่วนศพลูกชายนั้นอยากได้มาทำพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้าน  แต่ต้องรอการยืนยันจากสถานทูตอีกครั้ง ว่าศพของลูกชายจะเดินทางมาวันไหน


นางบุญแปง เล่าด้วยว่า วันที่นายอัครพล เสียชีวิต เป็นวันเกิดของน้องเกฟ ลูกชายวัย 11 ขวบของเขาด้วย  น้องเกฟไม่เห็นพ่อโทรมาอวยพรวันเกิด  เลยอัดคลิปเสียงส่งข้อความไปหาพ่อที่ทำงานอยู่อิสลาเอล บอกว่า “พ่อโจคือบ่โทรหาบักหล่าแน ถ้าทำงานก็บอกแน คิดฮอดเด้ วันเกิดบักหล่า คือมาโทรมาหาอวยพรให่บักหล่าจักคำแน ให้บักหล่าได้ชื่นใจ บักหล่ากำลังกินเนื้อย่างกับหมู่อยู่”


แปลเป็นภาษากลางว่า “พ่อทำไมไม่โทรหาลูกหน่อยถ้าทำงานอยู่ก็ขอให้บอก วันนี้วันเกิดผมทำไมพ่อไม่อวยพรให้ผมสักคำพูดสักคำให้ลูกได้ชื่นใจหน่อย ตอนนี้ลูกกินเนื้อย่างกับเพื่อน” แต่พ่อเขาก็ไม่อ่านข้อความหรือตอบกลับสักที สุดท้ายมารู้ข่าวร้ายว่าพ่อถูกระเบิดเสียชีวิต น้องเกฟก็เสียใจมาก ส่วนนางบุญแปงเอง ก่อนหน้านี้ 3-4 วัน ก็ฝันว่ามีเครื่องบินตก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นลางร้าย หากดวงวิญญาณลูกรับรู้ได้ อยากจะบอกโจว่า  ลูกคือดวงใจของแม่ ไม่รู้แม่จะอยู่ไปได้นานแค่ไหน พูดไปก็เอาชีวิตลูกกลับคืนมาไม่ได้

----------------------------

ส่วนที่ อำเภอกระสัง จ.บุรีรัย์  ภรรยาสุดเศร้าหลังทราบข่าวการเสียชีวิตสามี ระบุจำเป็นต้องไปทำงานรอบสองเพราะหนี้สิน ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกเพราะเป็นเสาหลัก เผยก่อนทราบข่าวร้าย 3 วันฝันเลือดท่วมตัวไปสะเดาะเคราะห์แล้วแต่เอาไม่อยู่

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ บ้านหนองพลวง ต.ลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ บ้านของ นายประหยัด พิลาศรัมย์ หนึ่งใน 4 ของผู้เสียชีวิต พบกับ มีนายยศ  อายุ 70 ปี ,นางรน  อายุ 70 ปี พ่อแม่ผู้เสียชีวิต ,นางสุลาภรณ์  อายุ 45 ปี พี่สาว และ น.ส.ประไพ  อายุ 40 ปี ภรรยานายประหยัด

โดยบรรยากาศที่ ได้มีชาวบ้าน และญาติพี่น้องที่ทราบข่าว เดินทางแสดงความเสียใจพร้อมทั้งผูกแขนให้กำลังใจครอบครัวเป็นระยะ 

น.ส.ประไพ  ภรรยานายประหยัด เล่าว่าก่อนหน้านั้นสามีเคยไปทำงานที่อิสราเอลมาแล้ว 1 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.64 จากนั้นเกิดเหตุสู้รบทางการให้เดินทางกลับไทย เมื่อวันที่ 25 ต.ค.66

หลังจากนั้นนายจ้างคนเดิม ได้ประสานมาให้ไปทำงานต่อ ตนกับครอบครัวไม่อยากจะให้ไปเพราะอันตราย แต่หนี้สินยังมีอยู่สามีจึงตัดสินใจเดินทางไปอีกครั้ง โดยการกู้เงินเพิ่มจากของเดิมอีก 50,000 บาท รวมเป็น 150,000 บาทของหนี้ทั้งหมด คราวนี้เดินทางไปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.66

น.ส.ประไพ เล่าด้วยว่าระหว่างไปทำงานสามีจะโทรศัพท์ติดต่อกันทุกวัน และมักจะเอาคลิปที่น้องชายสามีถ่ายไว้ส่งมาให้ดู บอกว่าระเบิดลอยข้ามหัวอยู่ตลอดเวลา และเมื่อประมาณ 3 วันที่ผ่านมา ตนฝันว่ามีเลือดท่วมตัวของตัวเองพยายามเช็ดแต่ไม่ออก ตื่นเช้ามาไม่ยอมบอกใคร เดินทางไปสะเดาะเคราะห์ที่วัดทันที เพราะคิดว่าตัวเองมีเคราะห์สุดท้ายกลายเป็นสามีที่รับเคราะห์แทน

น.ส.ประไพ เล่าอีกว่าตอนนี้ครอบครัวยังมีหนี้สินทั้งธนาคารที่กู้ไปทำงานและค่างวดรถที่ค้างอีกกว่า 300,000 บาท ตอนนี้อยากได้ร่างของสามีกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด

ด้านนายอำนาจ เข็มเพชร รักษาราชการแทนแรงงานจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่าหลังทราบข่าวเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานได้เดินทางมาให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสีย และเพื่อเดินเรื่องต่างๆที่ครอบครัวมีความประสงค์ รวมถึงค่าเยียวยาอื่นๆที่จะทำให้รวดเร็วที่สุด ส่วนศพจะต้องได้รับการประเมินจากทางอิสราเอลก่อนว่าจะใช้เวลากี่วันที่จะส่งมา ขึ้นอยู่กับสภาพศพว่าจะต้องตรวจอัตลักษณ์กี่วัน

ทั้งนี้เบื้องต้นครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินจากกองทุนช่วยเหลือคนไปทำงานต่างประเทศครั้งแรกจะได้รับ 15,000 บาท เงินกองทุนเยียวยา 50,000 บาท นอกจากนี้ยังจะได้เงินสถาบันเงินจากกองทุนประกันภัยแห่งชาติอิสราเอลจะเป็นเงินค่าจัดการศพประมาณ 70,000 บาท มีเงินค่าฝังศพอีก 50,000 บาท รวมถึงได้รับเงินค่าเป็นหม้ายของภรรยาอีก 70,000 บาท ยังไม่รวมเงินช่วยเหลืออื่นๆอีกซึ่งกระทรวงแรงงานจะรวบรวมอีกครั้ง



รับชมทางยูทูบที่ :   https://youtu.be/aH4pqvZoqqw

คุณอาจสนใจ

Related News