สังคม

เพิกถอนใช้อาคารเมรี อาบอบนวด 5 ปี - 'ชูวิทย์' แฉทุนจีนสีเทาภาค 2 หลังบุกจับ นทท.จีนเปิดห้องมั่วยา เชื่อขัดแย้งปมส่งส่วย

โดย weerawit_c

3 มิ.ย. 2566

364 views

ตำรวจนครบาลมักกะสันและเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตห้วยขวาง นำคำสั่งของกรุงเทพมหานคร ติดประกาศหน้าอาคาร เมรี อาบอบนวด เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตเปิดกิจการอาบอบนวด จากกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี หรือ กก.ดส. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานบันเทิง ภายในสถานที่ เมรี อาบอบนวด ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม. พบนักเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน 51 คน เปิดปาร์ตี้มั่วสุมเสพยาเสพติด จึงยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงนำนักเที่ยวทั้งหมดตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน คืนวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา


นายไพฑูรย์ งามมุข ผู้อำนวยการสำนักงานเขตห้วยขวาง เปิดเผยถึงกรณีสถานบันเทิงไดมอนด์ KTV ว่า ได้จดทะเบียนขอเปิดกิจการประเภทคาราโอเกะ ตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ.2535 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยขอจดคนไทยในนามนิติบุคคล แต่จากการตรวจสอบตัวอาคารของสถานที่, สภาพแวดล้อม และระบบสาธารณะสุข ยังไม่ผ่านเกณฑ์ จึงยังไม่ผ่านการพิจารณาออกใบอนุญาต จนกระทั่งได้มีการแอบลักลอบเปิดได้ประมาณ 1 เดือน


ส่วนเมรีอาบอบนวด มีการจดทะเบียนในนามนิติบุคคลของ บริษัท เมรี จำกัด ไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้วอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่การที่ ไดมอนด์ KTV แอบมาเปิดคาราโอเกะในสถานที่อาบอบนวด ถือว่าเป็นการละเมิดให้การสนับสนุนกระทำผิดกฎหมาย และมีการมั่วสุมสุรา เปิดเกินเวลา และยาเสพติด จึงมีความผิดตามคำสั่ง คสช. ที่ 22/2558 ทางสำนักงานเขตได้ออกคำสั่ง เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ ประเภทอาบอบนวด ของบริษัท เมรี จำกัด และห้ามใช้สถานที่และออกใบอนุญาตเป็นระยะเวลา 5 ปี


ทั้งนี้ การขออนุญาตเปิดสถานที่อาบอบนวด ทางผู้ประกอบการสามารถจัดสรรพื้นที่ หรือดัดแปลงเปิดกิจการอื่น ๆ ได้ตามพรบ.สาธารณสุข แต่ต้องได้รับอนุญาตจากทางสำนักงานเขต หรือจังหวัด แต่ไดมอนด์ เคทีวี ไม่ได้อนุญาตแต่เป็นการลักลอบเปิดให้บริการ


ด้าน พ.ต.อ.จรินทร์ ลำลึก ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ควบคุมตัวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมทั้งหมด 51 คน ควบคุมตัวฝากขังไว้ที่ สน.ดินแดง 18 คน สน.ห้วยขวาง 11 คน สน.มักกะสัน 24 คน โดยมีคนไทย 1 คน ที่เป็นนักท่องเที่ยว จากตรวจสอบพบว่าได้พกพาอาวุธปืนมาเที่ยว พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหา พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต


จากการสอบสวนขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ โดยมีการนำตัวผู้จัดการร้านที่เป็นชาวจีน มาสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อหาเจ้าของร้านที่แท้จริงว่าเป็นใคร และจะนำตัวผู้จัดการร้านไปค้นที่บ้านพัก ก่อนที่จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด


อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้งหาทั้งหมดฝากขังในวันพรุ่งนี้ (4มิ.ย.) เนื่องจากศาลเปิดวันทำการ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนคัดค้านประกันตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมด โดยหลังจากศาลมีคำพิพากษาก็จะส่งตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดไปกักขังที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก่อนพิจารณาผลักดันส่งกลับประเทศต้นทาง


ที่โรงแรมเดวิส สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เปิดแถลงข่าวทุนจีนสีเทาภาค 2 โดยก่อนที่จะแถลงได้นำโคมไฟสีแดง หรือ “เต็งลั้ง” 1 คู่ เข้ามาด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคนจีนที่นิยมติดไว้หน้าห้างร้าน พร้อมกล่าวว่า “เรามีปัญหาเรื่องจีนเทา เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องอเมริกันเทา”


จากนั้นนายชูวิทย์ ระบุว่า สถานบันเทิงแห่งนี้ต้องมีการจ่ายส่วยให้กับตำรวจเพื่อเปิดให้บริการ เนื่องจากที่นี้เป็นสถานบริการอาบ อบ นวดเก่า และเปิดริมถนนเพชรบุรี ถือว่าเป็นสถานที่โจ่งแจ้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ ส่วนเจ้าของสถานบันเทิงนี้คือ “อาจ๋าย” ที่ได้ติดต่อผ่าน “ชายเล็ก” คนนี้เป็นที่รู้จักของตำรวจสน.มักกะสัน เป็นอย่างดี และในพื้นที่อื่นๆ เนื่องจาก “ชายเล็ก” เป็นนายหน้าจัดหาหญิงบริการมาให้กับสถานบริการหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร


และเป็นคนชักชวนให้ “อาจ๋าย” เข้ามาลงทุนเปิดสถานบันเทิง ส่วนพนักงานภายในร้านก็จะใช้ผู้หญิงชาวจีน และประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน นอกจากนั้นยังพบว่ามี “บังมัด” ผู้กว้างขวางในย่านคลองตัน เป็นคนออกหน้าเพื่อเคลียร์กับตำรวจในพื้นที่คือ “รอง ห.” ซึ่งเป็นตำรวจตำแหน่งรองผู้กำกับการในพื้นที่


นายชูวิทย์ ยังบอกอีกว่า ผับต่างๆ เหล่านี้ ต้องมีส่วยจ่าย เพราะสังเกตได้ชัดว่า เปิดติดถนนใหญ่ อย่างถนนเพชรบุรี  เพราะฉะนั้น ปัญหาเราคือ ปัญหาส่วย เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้  และปัญหาต่อมา คือ ตม. ปล่อยให้กลุ่มจีนเทาเข้ามาได้อย่างไร ซึ่งคนจีนกลัวไทยอย่างเดียว ก็คือจีนอุ้มจีน


สำหรับการเข้าจับสถานบันเทิง “ไดม่อน” ครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นความขัดแย้งของหน่วยงานรัฐกับรัฐ หรือเป็นระหว่างหน่วยงานรัฐกับเจ้าของสถานบันเทิง โดยมี “รอง ห.” เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่จะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งกับตำรวจดส.หรือไม่ ยังบอกไม่ได้ แต่ก็เห็นว่า ตำรวจดส. ทำหน้าที่คล้ายพ่อบ้านให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาล


ส่วนสถานบันเทิง “ไดม่อน” พบว่ารูปแบบการประกอบกิจการเป็นรูปแบบเดียวกับ “จินหลิงผับ” ซึ่งมีเครือข่ายคนจีนเทากว่า 10 คน มาร่วมลงทุนให้ “อาจ๋าย” ในวงเงินรวมประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งมีทุนน้อยกว่า “ตู้ห่าว”


นายชูวิทย์ ยังระบุว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยังเปิดโอกาสให้กลุ่มจีนเทาเข้ามาในไทยมากขึ้น ทำให้คนจีนมาทำธุรกิจสีเทาในกรุงเทพมหานคร และพัทยา จังหวัดชลบุรีมากขึ้น และประเทศไทยกำลังจะเป็นศูนย์กลางของคนจีนหมายจับแดง เพราะเข้ามาในไทยได้ง่ายด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และวีซ่าพิเศษ ที่มีคนจีนใช้เข้าออกประเทศปีละ 5 แสนคน ส่วนในประเทศไทย ขณะนี้มีคนจีนมาอยู่แล้วกว่า 3 ล้านคน โดยที่ไม่มีระบบตรวจสอบหมายจับของจีน ทำให้คนจีนเลือกมาอยู่ประเทศไทยจำนวนมาก


นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังแฉอีกด้วยว่า มีสถานบันเทิงที่มีลักษณะเป็นคาราโอเกะ KTV ภายในห้องมีอ่างซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สุทธิสาร ซี่งกำลังจะเปิดภายในสัปดาห์นี้ แต่ความจริงแล้วจะเปิดตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่ว่าเคลียร์เรื่องส่วยยังไม่ลงตัว จึงยังไม่สามารถเปิดได้ จึงต้องเลื่อนกำหนดเปิดออกไป เพราะหากไม่จ่ายส่วยจะไม่สามารถเปิดได้  และยังอยู่ระหว่างจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน มีตั้งแต่ระดับสถานีตำรวจท้องที่ กองบังคับการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล รวมทั้งหน่วยงานกลาง ทั้งกองปราบปราม ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตำรวจ ดส. และ 191


โดยนายชูวิทย์ ได้เขียนชื่อสถานที่ดังกล่าวที่กำลังจะเปิดบนกระดานคือ “ลาลิซ่า” ซึ่งชื่อร้านตรงกับร้านที่ ตำรวจ สน.สุทธิสาร เคยจับอาบอบนวดย่านรัชดาฯ 17 ข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่รับอนุญาตมาแล้ว เมื่อช่วงเดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมา


นอกจากนี้ ยังเปิดภาพ 4 ขบวนการจีนเทา คอยเจรจาไกล่เกลี่ยให้ โดยมีหัวหน้าแก๊ง / เลขา และนกต่อ2 คน โดยบอกว่าไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน แต่ศูนย์กลางหลักอยู่ที่กัมพูชา และก็กระจายการลงทุนไปในประเทศต่างๆ  รวมถึงไทย ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้ใช้พาสปอร์ตจีน  แต่ใช้พาสปอร์ตกัมพูชา / วานูอาตู / และนาอูลู  ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติชัดเจน ส่วนสาเหตุที่ทุนจีน ไม่สามารถลงทุนที่จีนได้ เพราะกฎหมายแรง ต่างกันไทย ที่จ่ายส่วย เคลียร์ได้ก็จบ


ขณะเดียวกันระหว่างแถลง มีสายโทรศัพท์จากนายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล โทรมาพูดคุยกับนายชูวิทย์นายชูวิทย์ บอกว่า ข้อมูลที่ตนมีตนไม่สามารถเก็บไว้เอง หรือทำเองได้หมด จึงต้องอาศัยคนที่มีอำนาจ มีพาวเวอร์อยู่ในมือถ้าเอาไปให้ตำรวจก็เหมือนกับว่า “เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน” ตนจึงต้อหาคนที่มีไฟมาทำ มาจัดการ ก่อนหน้าได้ถามนายรังสิมันต์ แล้วว่าจะให้ตนเอาข้อมูลให้ใคร “วิโรจน์ หรือ โรม” จึงได้ข้อสรุปว่าเรื่องจีนเทา ให้นายรังสิมันต์ เป็นคนจัดการ ซี่งตนก็พร้อมที่จะให้ข้อมูล และเชื่อว่าหากก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้ เพราะอยู่ในนโยบายของพรรค



https://youtu.be/pa5OBXDwRxc

คุณอาจสนใจ

Related News