สังคม

'ทนายอั๋น' แฉ 'ทนายตั้ม' เรียกค่าทำคดีลุงพล 3 ล้านบาท ด้าน 'ทนายตั้ม' โต้พร้อมแจง หลักฐานสลิปโอนเงินเป็นของปลอม

โดย weerawit_c

2 เม.ย. 2566

110 views

เรียกได้ว่าเป็นประเด็นร้อนไม่หยุดสำหรับกรณีการที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมา เปิดเผยเรื่อง ถุงเงินหกล้านบาท ของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่าเป็นเงินสีเทาจากกลุ่มพนันออนไลน์ และต่อมา ทางคุณชูวิทย์ ก็นำหลักฐานเป็นใบเสนอราคาการว่าความของลูกความทนายตั้ม



โดยในใบเสนอ ราคา ระบุว่ามีการคิดค่าแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งละ 300,000 บาท ซึ่งต่อมาภายหลังทนายตั้มออกมาแถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นค่าเสี่ยงภัยป้องกันการโดนฟ้องกลับและในการแถลงข่าววันนั้นมีการระบุถึงการทำงานอาชีพทนายความช่วงตลอด 6 เดือน ที่ไปช่วยคดีลุงพล บ้านกกกอกส่งผลกระทบ ไม่มีงานทำให้ครอบครัวลำบากนั้น ในวันที่ทนายตั้มแถลงข่าวนั้น จังหวะนี้ถึงกับเสียงสั่นเครือ



ล่าสุดดูเหมือนเรื่องนี้ไม่จบ มีทนายคนหนึ่งออกมาเปิดเผยข้อมูลว่ากรณีที่ทนายตั้มพูดเรื่องการลงพื้นที่ช่วยเหลือลุงพล บ้านกกกอกแล้วไม่ได้รับเงินไม่เป็นความจริง



ทีมข่าวสอบถามนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ว่า ตนไม่ได้เป็นทนายความส่วนตัวของลุงพล แต่ในช่วงที่เกิดประเด็นของทนายตั้ม ตนเองก็ออกมาโพสต์โซเชียลแสดงความคิดเห็น พฤติกรรมของทนายตั้ม ที่เรียกเงินค่าเสี่ยงภัยจากลูกความถึง 3 แสนบาท



“ก็มีแฟนคลับของลุงพล ตัวย่อ T ซึ่งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ก็ได้ส่งหลักฐานสลิปการโอนเงินมาให้ดู ว่าได้มีการโอนเงินให้ทนายตั้ม 4 แสนบาท และแฟนคลับที่แคนนาดา ย่อตัว N ก็โอนเงินให้ทนายตั้ม อีก 1 แสนบาท รวมเป็น 5 แสนบาท”



พร้อมทั้งส่งเอกสารเป็นใบสลิปการโอนเงินของแฟนคลับที่อยู่ต่างประเทศของลุงพล โดยการโอน จะเป็นการระดมทุน ช่วยเหลือจากเอฟซีหลายๆ คน จึงเป็นยอดเงินตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักแสน



ทนายอั๋นบอกว่า เอฟซีคนนี้ ยืนยันว่า  ในระหว่างช่วงที่ทนายตั้มลงพื้นที่ทำคดีลุฃพลที่บ้านกกกอก ได้นับเงิน โดยเอฟซี ทยอยโอนเงินเข้าบัญชีของ มูลนิธิทนายตั้ม โดยมีเอฟซี ที่อยู่ประเทศแคนนาดา คอยรวบรวมบัญชีไว้ เพื่อเปิดเผยข้อมูล



โดยที่ตนเองออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ไม่ได้หิวแสง หรือ ต้องการดัง และได้รับข้อมูลมาจากเอฟซีของลุงพล ซึ่งคนที่ส่งสลิปให้ตน ก็ยืนยันว่าเป็นสลิปจริง แต่ประเด็นของตนคือ “อยากให้ทนายตั้มออกมาชี้แจงเรื่องนี้ และกางบัญชีให้ตรวจสอบ ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และที่ต้องออกมา เปิดเผยข้อมูล ก็มองว่า การกระทำของทนายตั้ม ส่งผลกระทบต่ออาชีพทนายความ และ มรรยาททนายความ หากนำข้อมูลออกมาเปิดเผย ให้สังคมรับรู้ก็จะได้ไม่สงสัยเรื่องนี้”



นอกจากนี้ทนายอั๋น ยังบอกว่า เอฟซี ที่อยู่ต่างประเทศให้ข้อมูลว่าเมื่อตกลงจะว่าจ้างทนายตั้มดูแลคดีลุงพล ทนายตั้มเรียกค่าทนาย ดูแลคดีทั้งหมด 3 ล้านบาท โดยทางเอฟซีที่อยู่ต่างประเทศก็ขอต่อรองว่า เหลือ 2 ล้านบาท ได้หรือไม่ ทนายตั้มก็ยินยอม



หลังจากนั้นทุกคนก็ระดมทุนเพื่อหาเงินช่วยเหลือลุงพลโดยจะนำเงินบริจาคเข้า มูลนิธิขอลทนายตั้ม จนครบ 2 ล้านบาท ไม่ได้ให้เป็นก้อนในทีเดียว เพราะเอฟซีแต่ละคนไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ทุกคนตั้งใจช่วยลุงพล จากนั้นก็มีการทยอยโอนให้จนครบ 2 ล้านบาท



ระหว่างนั้นมีรายงานว่า เงินที่โอนให้กับมูลนิธิของทนายตั้มนั้นครบแล้ว และมีจำนวนเกินกว่าสองล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นมีรายงานว่าลุงพลมีการสอบถามทนายตั้มเกี่ยวกับบัญชีและจำนวนเงินที่โอนเข้าไปหากเป็นยอดเกินจากจำนวน 2 ล้านบาท ที่ตกลงค่าว่าความนั้น ก็จะขอแบ่งเงินส่วนนี้มาไว้เป็นทุนการศึกษาลูกชายของลุงพล แต่ก็เกิดปัญหาจนมีเรื่องบาดหมางกัน ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้ทนายอั๋นยืนยันว่า ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เอฟซีคนนี้สนิททั้งทนายตั้ม และลุงพล เป็นคนบอกเล่ามา



สำหรับการเปิดเผยข้อมูลนี้ ทนายอั๋น ยืนยัน ว่าตนเองไม่ได้หิวแสงแต่เรื่องที่ออกมาเปิดเผยเพราะว่าเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและในวิชาชีพทนายความ ไม่ควรเกิดเรื่องราวแบบนี้ จึงอยากให้ทนายตั้มออกมาชี้แจง และตนเองได้เดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการมรรยาททนายความสภาทนายความให้ตรวจสอบพฤติกรรมของทนายตั้มแล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา

และในสัปดาห์หน้าก็จะเดินหน้าตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงินของทนายตั้ม และไม่กังวลหากทนายตั้ม จะฟ้องกลับก็ยินดีเพราะว่าทุกอย่างต่อสู้กันที่พยานหลักฐานตนก็เป็นทนายความเหมือนกัน



ทางด้านนายษิทธา เบี้ยบังเกิดหรือทนายตั้ม ขอชี้แจงว่ารายละเอียดที่มีทนายมาเปิดเผย เป็นสลิปลอม และเคยชี้แจงไปแล้ว หากจะตรวจสอบเส้นทางการเงิน ก็พร้อมให้ตรวจสอบ



ทั้งนี้ นายษิทธา ยังได้ออกมาโพสต์ถึง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อีกด้วยว่า "หลายสิบปีก่อนได้ติดตามข่าว “ที่ดินบาเบียร์” ของพี่ชูวิทย์ ที่ให้คนไปรื้อจนถูกดำเนินคดี จำได้ว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องพี่ชูวิทย์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุก ก็สู้คดีมาตลอดแต่พอถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจู่ๆพี่ชูวิทย์ก็แถลงรับสารภาพ!!



ตอนนั้นจำได้ผมพึ่งเป็นทนายได้ไม่นาน การที่จู่ๆจำเลยปฎิเสธมาตลอด จะรับสารภาพตอนนั้นก็งงเหมือนกัน ทำได้ด้วยเหรอ แล้วศาลจะลดโทษให้ไหม? หลายคนอาจจะเคยได้ยินทนายรุ่นเก่าๆพูดว่า การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ส่วนมากศาลจะไม่ลดโทษให้ คำนี้ติดหูผมมาก



ระหว่างที่ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปนั้น นักกฎหมายสมัยนั้นก็วิจารณ์เรื่องนี้กันไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าไม่น่าจะทำได้ บ้างก็ว่าเป็นสิทธิของจำเลย พอถึงวันฟังคำพิพากษาปรากฎว่าศาลฎีกาลดโทษให้ โดยเหตุผลหนึ่งคือ จำเลยได้มีการนำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่าจำเลยรู้สึกสำนึกผิด นับว่ามีเหตุปราณี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม พิพากษาแก้จากจำคุก 5 ปี ให้เหลือแค่ 2 ปี ไม่รอลงอาญา



ได้ลดโทษมา 3 ปี เหนาะๆ เพราะให้ที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ผมถึงรู้สูตรนี้ว่า จำเลยสามารถกลับคำให้การชั้นฎีกา และลดโทษได้ ถ้ามีเหตุผลดีๆ ก็เลยลักจำเอาคดีที่ทนายของพี่ชูวิทย์ใช้วิชาขั้นเทพนี้มาประยุกต์ใช้บ้าง



เมื่อไม่นานมานี้ผมพึ่งรู้ข่าวว่าที่ดินที่พี่ชูวิทย์อุทิศให้คนกทม.ไว้ใช้เพื่อสาธารณะ ตอนนี้กำลังพัฒนาให้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่าหลายพันล้าน ก็ตกใจเพราะนักกฎหมายทุกคนทราบดีว่า ถ้าแค่พูดว่ายกที่ดินให้สาธารณะมันจะโอนทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียน และไม่สามารถถอนคืนการให้ได้



เรื่องนี้ท่านผู้ว่าฯชัชชาติ และกรุงเทพมหานคร ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ทำความจริงให้ปรากฎ  ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่แถวนั้นและเคยใช้ประโยชน์กับสวนชูวิทย์อาจจะรวมตัวกันไปฟ้องคดีต่อศาลเอง  เพื่อทวงคืนปอดของคนกรุงเทพฯซึ่งสามารถทำได้



แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น พี่ชูวิทย์จะใช้อภินิหารทางกฎหมายท่าไหน เอาที่ดินที่ยกให้สาธารณะไปแล้ว มาเป็นของครอบครัวตัวเองได้อีก เรื่องนี้คงจะถกเถียงกันอีกนาน จนกว่าจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินเป็นแนวทางต่อไป"



รับชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/EDOo0Aqj6ws

คุณอาจสนใจ

Related News