สังคม

'ชูวิทย์' ซัด 'ทนายตั้ม' เด็กเมื่อวานซืนต่อยผิดรุ่น - 'ทนายตั้ม' โพสต์รูปทำบุญ สาบแช่งคนที่เคยรับเงินชั่ว 'แก๊งสารวัตรซัว'

โดย weerawit_c

25 มี.ค. 2566

410 views

วานนี้ (24 มี.ค.) เวลา 08.49 น. เพจ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ มีความเคลื่อนไหว โดยโพสต์ภาพและข้อความระบุว่า



“#ชื่นมื่น ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมเดวิส และเป็นวันที่คนของสารวัตรซัว ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บหนึ่ง (คนซ้ายในรูป) เอาเงินไปให้พี่ชูวิทย์ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่มีแค่ตำรวจ 2 คนอย่างที่พี่ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์



คนบนโต๊ะมีทั้งตำรวจระดับนายพล 2 คน (ตามที่พี่บอกกับสังคม) เจ้าของเว็บ กล่องดวงใจ และพี่ชูวิทย์ นั่งเจรจากัน เรื่องเว็บไหนแตะได้ เว็บไหนแตะไม่ได้ และที่สำคัญตำรวจระดับนายพลที่พี่ชูวิทย์พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง คนนึงเกษียณแล้วเป็นคนสนิทพี่ชูวิทย์เอง ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่



แต่อีกคนไม่ใช่ตำรวจแล้ว พี่พูดความจริงครึ่งเดียว คนนี้มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อกกันทั้งประเทศ ช็อกแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อกที่สองก็คือทำไมพี่ชูวิทย์ต้องปกปิด



ผมว่าพี่ควรจะเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนะครับว่าคือใคร ถือว่าทำเพื่อชาติ เหมือนที่พี่พูดมาตลอด ผมจะได้เลิกคลางแคลงใจในตัวพี่ซะทีว่าเบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันต่างกันสิ้นเชิง? แต่ถ้าพี่ไม่กล้าแฉ เพราะรับอะไรเค้ามาแล้วไม่เป็นไร อาทิตย์หน้าผมจะเปิดแทนพี่เอง แบบไม่มีกั๊ก ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงอะไรทั้งสิ้น”



ขณะที่วันเดียวกัน ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล แถลงว่า ตามที่นายชูวิทย์ได้บริจาคเงินด้วยแคชเชียร์เช็คให้กับภาควิชากายวิภาคศาสตร์ รพ.ศิริราช จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา รพ.ศิริราช จึงออกใบเสร็จรับเงินให้กับนายชูวิทย์ ซึ่งตามมติของ ครม. ใบเสร็จสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า



ซึ่งวันที่รับบริจาคไม่ได้มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ต่อมามีการนำเสนอข่าวว่า เงินดังกล่าวอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งนายชูวิทย์ ก็ยืนยันเองว่าเป็นเงินที่มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย ทางภาควิชาไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีการติดต่อเพื่อขอคืนเงินดังกล่าวให้กับนายชูวิทย์ในช่องทางที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด แม้ว่าจะเป็นการบริจาคเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม แต่ถ้ามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฏหมาย ก็ควรให้เป็นทางกระบวนการยุติธรรมจะดีที่สุด



“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ศิริราชมีการเปิดรับเงินบริจาคมา แล้วต้องมีการคืนเงินให้กับผู้บริจาค เพราะที่ผ่านมาบริจาค เราดูที่ตัวเงิน ไม่ดูตัวคน แม้แต่ผู้บริจาคบริจาคเพียงหลักร้อยบาท ผมก็มารับด้วยตัวเอง แต่เงินที่เราทราบขณะนี้ทราบว่า ไม่ใช่เงินของนายชูวิทย์เลยคืน แต่หากเป็นเงินของนายชูวิทย์เอง ก็ยินดีที่จะรับบริจาค และใครก็ได้ที่มาบริจาค ศิริราชรับเงินบริจาคเพื่อเป็นสะพานบุญต่อไป”



ด้าน รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีคืนเงินบริจาค 3 ล้านบาท ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่า ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายการคลัง ติดต่อขอคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้นายชูวิทย์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากได้ปรึกษากับฝ่ายกฎหมายและอาจารย์ประจำภาควิชา คณะนิติศาสตร์ มธ. ได้ให้แนวทางและหลักกฎหมายมาพิจารณา จึงเห็นควรคืนเงินจำนวน 3 ล้านบาท แต่หากสามารถพิสูจน์ที่มาของเงิน และไม่ผิดหลักจริยธรรม คุณธรรม และหากประสงค์จะบริจาค ทางคณะแพทย์ก็ยินดี



พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท.ในฐานะ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ส่วนกรณีของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมายอมรับกลางงานแถลงว่า รับเงินจากสารวัตรซัว เพื่อให้เลิกหยุดแฉนั้น ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางจะต้องพิจารณาก่อนว่าทางพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่ นายชูวิทย์ ได้มาเป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่เป็นมูลฐานความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ก็อาจเป็นความผิด ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไป



ส่วนกรณีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาแฉว่า มีตำรวจ 2 นายพล เข้าไปติดต่อ นายชูวิทย์ เลิกแฉคดีสารวัตรซัวนั้น จะต้องรอให้ทาง ทนายตั้ม นำหลักฐานเข้ามามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบว่ามีนายตำรวจกระทำตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่มีการโอนสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 50 ล้าน ให้กับ"กล่องดวงใจ"ของ นายชูวิทย์ ก็ต้องดูตามพยานหลักฐานที่ ทนายตั้ม แจ้งระหว่างการแถลงข่าวว่าจะให้ตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไปเช่นกัน



นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานปปง. อยู่ระหว่างการตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของกลุ่มผู้กระทำความผิดมูลฐานและบุคคลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ หากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าเงินบริจาคดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน สำนักงาน ปปง. จะพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยเร็ว และหากสำนักงาน ปปง. ตรวจสอบพบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดอื่นๆ สำนักงาน ปปง. จะเสนอคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิจารณายึดอายัดทรัพย์สินดังกล่าวตามกฎหมาย



ทั้งนี้ หากคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งยึดเงินบริจาคจำนวนดังกล่าวและได้มีการส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการพิจารณา เพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เงินบริจาคจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน และปรากฏพยานหลักฐานว่า มีการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 สำนักงาน ปปง. จะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด



เวลา 12.00 น. ที่ซอยเฉยพ่วง หรือ พหลโยธินซอย 18/2 ย่านจตุจักร กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ลงพื้นที่รณรงค์คัดค้านนโยบายกัญชาเสรี พูดถึงนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม



ทันทีที่นายชูวิทย์ เดินทางมาถึงได้กล่าวหาว่า “ทนายตั้ม คือตัวแทนของสารวัตรซัว พนันออนไลน์ เหมือนกันสันธนะเป็นตัวแทนจีนเทา อย่างทนายตั้มเคยว่าความที่ไหน แรกๆ บอกเป็นทนายประชาชน ตอนหลังกลายเป็นทนายเซเลป เคยขึ้นศาลหรือเปล่า เป็นทนายแต่ไม่ช่วยเหลือแต่มาพูดถึงผม อยากจะเปิดเผย เปิดเผยได้เลยเพราะผมคือโจร อย่าเรียกผมว่าฮีโร่ ผมเป็นโจร”



นายชูวิทย์ ยังระบุอีกอีกว่า ตนเองได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ และโรงพยาบาลศิริราช ก็ไปรับเงินกลับมาทั้งหมด 6 ล้านบาท จากนี้จะนำไปให้ ผบ.ตร. พร้อมให้ข้อมูลว่าใครเป็นคนนำเงินมาให้ตน คนนั้นนำเงินมาจากใครตนไม่ทราบ ต้องไปสวบสวนกันเอง



“ผมถามว่าทนายตั้ม คุณหิวแสงขนาดนั้นเลย ผมถามจริงๆ เถอะคุณได้เท่าไหร่งานนี้ เหมือนสันธนะ พอผมพูดเรื่องจีนสีเทา สันธนะโผล่มาทันที ผมพูดเรื่องสารวัตรซัว ก็มีตัวแทนของสารวัตรซัว ออกมาซัดผมทันที นายเปา (หลานชูวิทย์) มันคือคนเนรคุณ ซึ่งไปอยู่กับสารวัตรซัว ทั้งมวลคอคือคนกลุ่มเดียวกันที่จะต่อสู้กับผมโดยมีทนายตั้มเป็นตัวแทน”



พร้อมกล่าวว่า “ผมตรองคิดไปคิดมารู้ละว่าทนายตั้ม ทำไมถึงวัดกับผมคิดว่าผมเป็นรุ่นเฮฟวีเวท มันรุ่นไลท์เวทเด็กๆ ผมเป็นมหาโจร ผมไม่เคยบอกว่าผมเป็นฮีโร่ สังคมไทยฮีโร่มันตายหมดแล้ว สังคมนี้เหลือแต่โจรอย่างผมที่จะใช้ปราบโจรด้วยกัน ผมเป็นคนสีเทา คนสีเทาอย่างผมเท่านั้นที่จะจัดการเรื่องเทาๆ ได้ เรื่องราวข้อมูลต่างๆ ผมก็เอามาจากคนสีเทา”



ขณะที่ด้านนายเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์ ลูกชายของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้แชร์โพสต์จากเพจ 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว' พร้อมระบุข้อความ "50 ล้านไหนวะ ขอหลักฐานหน่อย??? บัญชี MetaMask กุยังไม่มีเลย คริปโตก็ติดลบ จนจ๊นจน 50 ล้าน ทิพย์??? ถ้าหาเจอมีหลักฐาน ยอมจูบตูดหมา หาเจอเเล้วปลุกด้วย ทราบเเล้วเปลี่ยน"



ล่าสุด ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้โพสต์ภาพทำบุญพร้อมระบุข้อความว่า "วันนี้มาทำบุญไม่ขออะไรมาก ขอสาบแช่งใครที่เคยรับเงินชั่วของแก๊งสารวัตรซัว แสร้งทำเป็นโจรกลับใจ รับผลกรรมโดนยึดทรัพย์หมดตัวทั้งตระกูลกลายเป็นคนไร้ต้นทุนจริงๆ สมพรปากทีเถอะสาธุ"



ทั้งนี้ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อดีต ส.ส.พัทลุง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และอดีตนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง ถูกกล่าวหาว่า รับเงินผิดกฎหมาย มาบริจาคให้โรงพยาบาล ว่า



“เลือกเอาเองว่าจะยืนฝั่งไหน ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดงเพื่อไปหยุดยั้งคนชั่วที่กำลังไปปล้นธนาคาร คุณชูวิทย์ ผิดครับที่ขับรถฝ่าไฟแดง แต่ผมไม่ใช่คนที่จะออกมาด่าคุณชูวิทย์ ที่ขับรถฝ่าไฟแดง ผมเป็นเพียงคนเล็กๆคนหนึ่งที่ออกมาขอบคุณ คุณชูวิทย์ที่ออกมาปกป้องการปล้นธนาคาร



โลกนี้ไม่มีใครดีพร้อมหรอกครับ แม้คุณที่กำลังอ่านอยู่ก็ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก หากเลือกจะด่าคนขับรถฝ่าไฟแดง ก็ขอให้คุณไปยืนฝั่งโน้น ส่วนผมเลือกที่จะยืนฝั่งชื่นชมการออกมาปกป้องการปล้นธนาคารของคุณชูวิทย์ และพร้อมที่จะควักเงินเสียค่าปรับ 500 บาท เป็นค่าฝ่าไฟแดงให้คุณชูวิทย์



ชูวิทย์!!! คุณกำลังเล่นกับโจร คุณจะบิณฑบาตให้โจรเลิกปล้นธนาคาร คุณตายเปล่า ชีวิตผมเห็นตำรวจ เวลาไปจับโจร ก็ยิงโจร – ซ้อมโจรตายไปหลายคนแล้ว แต่ก็หยุดการทำผิดของโจรได้ คุณเป็นคนธรรมดา ทำได้แค่นี้ ใจคุณใหญ่มากแล้ว



เราล่ะ เราอยู่ฝั่งไหนในโลกใบนี้ เลือกเอาเอง และเราต้องพร้อมรับผลจากการเลือกของเรา ชูวิทย์ ผมเลือกที่จะยืนฝั่งคุณ”


https://youtu.be/p8qCKGyFOa4

คุณอาจสนใจ

Related News