สังคม

แม่สุดช้ำ! ฝากเลี้ยงลูกออทิสติก ถูกทารุณ พริกป่นยัดปาก มีดแทงอก - ครูพี่เลี้ยงโต้ทั้งน้ำตา ไม่เคยทำร้าย ดูแลอย่างดี

โดย petchpawee_k

18 ก.พ. 2566

252 views






วานนี้ (17 ก.พ.) นางแหม่ม (นามสมมุติ) อายุ 54 ปี เข้าร้องเรียนนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ว่าได้นำลูกชายออทิสติก อายุ 29 ปี ไปฝากเลี้ยง สถานรับดูแลเด็กออทิสติกแห่งหนึ่ง ย่านบางบัวทองจ.นนทบุรี เดือนละ 35,000 บาท กลับถูกทำร้ายร่างกาย ใช้มีดแทงหน้าอก สากกะเบือทุบมือ ไฟแช็กลนแขน ให้กินข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  จนทุกวันนี้ลูกชายมีอาการหวาดผวา


นางแหม่ม กล่าวว่า ปัจจุบันตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ช่วงเดือน ก.ค.65 ได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่ จ.อุบลราชธานี ลูกชายที่อาศัยอยู่กับยายและหลานของตน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูกเพราะคิดว่าเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด


จากนั้นได้ติดต่อหาโรงเรียนสำหรับคนออทิสติก แต่ครูแนะนำว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้ามาเรียนกับเด็กๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงได้แนะนำสถานที่รับดูแลเด็กออทิสติกแห่งหนึ่ง ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี แม่จึงได้ติดต่อและพาลูกไปที่นั่น


พบเป็นบ้าน 2 ชั้น อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ดูแลเด็กออทิสติกที่มีทั้งอยู่ประจำและไปกลับซึ่งครูที่เป็นเจ้าของแจ้งค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000-35,000 บาท ในการอยู่ประจำ และบอกว่าจะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง


 จากนั้นแม่ก็ตกลงจะฝากลูกไว้ที่นั่น โดยพาลูกไปส่งวันที่ 18 ก.ค.65 พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ยาประจำตัวที่แพทย์ให้กินทุกวัน จากนั้นแม่ได้เดินทางกลับประเทศเยอรมัน ช่วง 2 เดือนแรก ครูได้ส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป ทานอาหาร ไปทานเคเอฟซี มาให้แม่ดูก็ว่าลูกคงมีความสุข และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ได้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปอาจารย์หมอ บอกว่าลูกชายเป็นปกติไม่ต้องกินยาแล้ว


ต่อมาเดือน พ.ย.65 แม่สังเกตเห็นในรูปลูกชายซูบผอม มีร่อยรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน ครูก็อ้างว่าลูกเดินชนก๊อกน้ำ ทีแรกแม่ก็ไม่คิดอะไรแต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวก็ยังไม่หาย วันที่ 30 พ.ย.65 จึงให้น้องสาวบินมาจากเยอรมัน กลับไทยเพื่อมาเยี่ยมหลาน


เมื่อมาถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ครูอ้างว่าให้น้าเข้าพบเด็กไม่ได้เพราะต้องระวังเรื่องโควิดทั้งที่น้องสาวก็ได้ตรวจเอทีเคและนำผลตรวจมาแสดง จึงทำได้เพียงแค่คุยกับหลานผ่านวีดีโอคอล ซึ่งน้าก็สงสารหลานมาก เพราะเห็นมีสภาพซูบผอมและร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างคุยวิดีโอคอล


เมื่อน้องสาวมาเล่าให้ตนฟังจึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับไทยในวันที่ 23 ธ.ค.65 และแชตคุยบอกครูว่าจะไปรับทันทีที่มาถึงเพื่อกลับบ้าน จ.อุบลราชธานี ไปเที่ยวช่วงปีใหม่ แต่ครูก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าครูมีโปรแกรมจะพาเด็กๆ ไปเที่ยว แม่เห็นผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้านก็พบว่าทุกคนยังอยู่ในบ้านไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นแม่ก็ได้แจ้งครูขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับที่ จ.อุบลราชธานี ทันที  


ต่อมาแม่กลับถึงไทยได้พบลูกชายในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้าย ที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนลูกมีอาการหวาดผวา แม่ต้องใช้เวลาหลายวันจนกว่าลูกจะบอกว่าถูกครู 3 คน ทำร้าย


 โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกพื้น ครูชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใช้สากกะเบือตีมือจนมือบวมปวดมาก และอีกวันครูชายคนที่ 2 หาว่าลูกชายไปหยิบขนมเพื่อนกินจึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่ นอกจากนี้พบว่าถูกไฟแช็กลนที่แขน


นางแหม่ม ผู้เป็นแม่ เล่าว่า วันที่ 28 ธ.ค.65 ตนได้พาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี แพทย์พบว่าเด็กมีอาการก้าวร้าว หวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันที่ 28 ธ.ค.65 ถึงวันที่ 18 ม.ค. รวม 21 วัน เพราะต้องดูอาการและปรับยา เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน แม่เสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ลูกอยู่อย่างทนทุกข์ถูกทำร้าย ลูกยังบอกว่าเวลาอยู่ที่บ้านครูส่วนใหญ่ก็จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


 “แม่ต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดที่เขาทำกับลูกแม่ ไม่รู้ว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จะถูกกระทำแบบลูกแม่หรือไม่ เพราะทางบ้านจะกีดกันไม่ให้ผู้ปกครองเด็กรู้จักพูดคุยกันเลย และก็จะไม่ให้คุยกับเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งเขาอ้างว่าเดี๋ยวเด็กจะไม่เชื่อฟังครู แม่อยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ ครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่”

ด้านนางกิ่ง ผู้เป็นน้าเผยว่า วันที่ตนไปเจอหลานสภาพผอม นิ่งเงียบ ถึงพยายามสอบถามว่าเป็นอะไรหลานบอกโดนตีและยกมือให้ดู พบว่ามือบวมเขียวช้ำโดนสากกระเบือตี พอเห็นเดินขากะเผลกตนจึงถาม หลานนั่งเงียบเขาบอกโดนไม้เรียวตีขา พอเปิดกางเกงดูขาบวมฟกช้ำ ตนจึงถ่ายรูปส่งไปให้พี่สาวดู


หลังจากตนเองนำตัวหลานออกมาจากสถานรับดูแลดังกล่าวคนออทิสติกแล้ว ก็พานั่งรถทัวร์กลับอุบลราชธานี หลานมีอาการหวาดกลัวจับมือตนไว้แน่นแล้วพูดว่าอยากกลับบ้าน กลัว แล้วก็นั่งเงียบ พอกลับไปถึงอุบลฯ หลานก็เล่าให้ฟังว่าโดนมีดปอกผลไม้แทงหน้าอก และโดนเอาพริกป่นยัดปาก ทุกคนได้ยินแล้วอึ้ง “ทำไมโหดร้ายอย่างนี้  สงสารหลานพากันร้องไห้ทั้งครอบครัว”

นอกจากนี้มีแชตไลน์กลุ่มสนทนาระหว่างนางแหม่ม กับครูพี่เลี้ยงบ้านรับเลี้ยงเด็กออทิสติก โดยหลังจากนางแหม่ม นำลูกชายไปฝากเลี้ยง ทางครูพี่เลี้ยงได้ส่งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอ อัปเดตความเป็นอยู่ส่งมาให้คุณแม่ โดยนางแหม่มสังเกตเห็นความผิดปกติว่า ลูกขอบตาช้ำ หน้าตาเปลี่ยนไป เหมือนถูกชก จึงได้สอบถามกับครูพี่เลี้ยงเตย ซึ่งได้คำตอบว่า "ไม่มีใครทำอะไรน้อง"

ครูพี่เลี้ยงเตย ยังบอกว่าอาการที่น้องส่ายศีรษะไปมา มีสาเหตุมาจากพาร์กินสัน คุณหมอเคยให้ทานยาที่เกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน ได้สอบถามอาจารย์หมอแล้ว โรคนี้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม สามารถดูแลรักษาได้ ด้วยการกินผักผลไม้ที่มีกากใย และวิตามิน

และครูพี่เลี้ยงต้น ยังอ้างว่าเด็กผอมลง เพราะคุณหมอบอกว่าให้ลดน้ำหนัก และออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เพราะน้องไม่มีกล้ามเนื้อ มีแต่ไขมัน ซึ่งนางแหม่ม ตอบกลับไปว่า "น้องเป็นออทิสติก ไม่มีโรคพาร์กินสัน น้องมีความจำดีมาก ตอนนี้แม่เห็นน้องเหมือนคนปัญญาอ่อนเลย อยู่กับแม่น้องไปไหน เหมือนคนปกติค่ะครู"

ฝั่งครูพี่เลี้ยงเตย จึงตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นจะไม่ลดความอ้วนให้น้องแล้ว เพราะคิดว่าทางบ้านคงรู้สึกไม่ดีที่น้องผอม ต้องขอโทษด้วย เพราะครูก็ฟังอาจารย์หมอมาเหมือนกัน ขณะที่นางแหม่ม บอกว่า น้องผอมคุณแม่ไม่มีปัญหา แต่น้องไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน และไม่ได้เป็นพาร์กินสันครูพี่เลี้ยงยังอ้างว่า ให้ลูกหยุดรับประทานยาประจำ

ทั้งนี้นางแหม่ม ได้เเข้ามาร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 และพาลูกชายเข้าแจ้งความโดยตำรวจได้ส่งตัวไปตรวจร่างกายและสอบปากคำในวันที่ 4 ก.พ.แล้ว นางแหม่มเกรงว่าคดีจะไม่คืบหน้า จึงได้พาลูกชายเดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาฯ อีกครั้ง เพื่อเข้าพบนางปวีณา ขอให้ช่วย


จากนั้นเวลา 14.30 น. นางปวีณา พาแม่หนุ่มออทิสติกเข้าพบและประชุมร่วมกับ พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคลผบก.ภ.จว.นนทบุรี และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.นนทบุรี เพื่อเร่งติดตามคดี ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบว่าสถานที่เปิดบ้านดูแลคนออทิสติกแห่งนี้มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่  

--------------------------------------------------------------

วานนี้ (17 ก.พ.) ทีมข่าวลงพื้นที่บ้านรับดูแลเด็ก โดยมีครูเตย อายุ 43 ปี เจ้าของบ้านยังตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น เครียดร้องไห้ชี้แจงทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกาย ทั้งการใช้สากตีมือจนมือผิดรูป/ใช้มีดแทงอก/การใช้ไฟแช็กลนจนเป็นแผลที่แขน/ให้ทานอาหารโดยใช้ผงปรุงรสของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยืนยันไม่เป็นความจริง ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายเด็ก ไม่ได้โหดร้ายตามที่กล่าวหา อาหารก็มีให้ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผัดแต่ไม่ได้ให้กินข้าวกับผงปรุงรส


“ถ้าถามว่ามีการทำโทษหรือไม่ ต้องบอกว่าก็มีการทำโทษแบบครูสมัยก่อนบ้าง เช่นกล้ามเนื้อของน้องไม่ค่อยแข็งแรง สิ่งที่จะทำโทษคือการลุกนั่งหรือให้ยกดัมเบล แต่หากเด็กไม่อยากทำหรือไม่พร้อมทำก็ไม่ได้ให้ทำไม่ได้บังคับ เรื่องอาหารให้กินผงปรุงมาม่า ยืนยันไม่มี แต่ถ้าเอาเส้นมาผัดมาม่าให้หรือไม่ ยืนยันว่ามีและจะแกะผงออก เพราะเด็กเล็กกินเผ็ดไม่ได้ ซึ่งจะมีน้องคนเดียวที่โต ทุกคนจึงต้องกินเหมือนกันหมดคือจืดๆ แต่สิ่งที่น้องทำคือ เทพริกป่นจนหมด และน้องยืนยันว่ากินได้ ก็ไม่ได้ห้าม เพราะเราไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวของน้อง เพราะที่บ้านไม่ได้ให้ข้อมูลส่วนตัวอะไรเลย แม่กับเตยไม่เคยเจอกัน เจอกันแค่วันมาส่งน้อง และไม่เคยให้เข้อมูลอะไรเลย เรื่องมีดหนูก็ไม่รู้ หนูโหดขนาดเอามีดไปแทงเด็กเลยเหรอ รู้สึกจุกมาก พอได้ยินเรื่องที่ถูกกล่าวหา”

ประเด็นที่กล่าวหาครูไม่ได้ให้กินยา ขาดยาเป็นเวลานาน ครูเตยชี้แจงว่า ยาของน้องเด็กอายุ 29 คนนี้ ได้มาแบบเหมารวมมาหมด ผู้ปกครองไม่ได้ชี้แจงไม้ได้บอกว่ามียาอะไร ทานตอนไหนรักษาอะไร ครูต้องมาเสริตหาข้อมูล และถามหมอที่พอจะรู้จัก เพื่อจะได้ให้น้องทานได้ถูก พบว่ายาส่วนใหญ่เป็นยากดประสาท และมีคุณสมบัติแต่ละตัวใกล้เคียงกัน


และครูก็ได้ปรึกษาหมอว่าหากปรับลดยาจะได้มั้ย และก่อนปรับลดยาก็ได้แจ้งผู้ปกครองแล้ว ทุกอย่างหากครูจะทำอะไรจะต้องแจ้งผู้ปกครองทั้งหมด โดยครูเตย ได้เอามายาให้นักข่าวดูด้วย ซึ่งมียาอยู่ประมาณ 7 ถุง แบ่งเป็น 4 ชนิด บางถุงยาซ้ำกัน แต่ระบุเวลาการรับยาคนละเดือน มีบางซองตั้งแต่ปี 64 ซึ่งอันไหนที่เป็นปี 64 ครูเตยก็ไม่มั่นใจว่ามันหมดอายุหรือยังหรือทานได้มั้ย


เรื่องที่เกิดขึ้น ครูเตย ยอมรับว่า ไปไม่เป็นเลยตอนนี้เพราะไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น ตนเองและพี่เลี้ยงเด็กในบ้านก็พยายามดูแลเด็กให้ดีที่สุด ที่นี่ก็เป็นเหมือนบ้านที่รับดูแลเด็ก สำหรับผู้ปกครองที่เขาไม่ว่างดูแล มีทั้งเด็กปกติและเด็กพิเศษ และจะรับเพียงแค่ 5 คน ไม่รับเกินจากนี้ เพราะไม่ได้เปิดเป็นศูนย์รับเลี้ยง แต่เป็นจุดเริ่มต้นมาจากการฝากเลี้ยงจากคนรู้จักต่อๆ กัน และรับเลี้ยงเด็กมาเกือบ 1 ปีแล้ว ส่วนมากจะรับเฉพาะเด็กเล็กก่อนเข้าเรียน คือไม่เกิน 7 ขวบ ที่บ้านก็ทีเด็กเล็กอายุประมาณ 4-6 ขวบ มีแค่น้องเด็กโตที่อายุ 29 ปี เท่านั้น


ตนเองไม่ได้อยากจะรับตั้งแต่แรก เพราะวัตถุประสงค์ของก่รรับเลี้ยงเด็กคือ รับเด็กเล็กก่อนวันเรียน

โดยครูเตย เล่าให้ฟังว่า วันที่น้องอายุ 29 ปี คนนี้ เขาเข้ามาอยู่ ครูเตยไม่ได้เจอตั้งแต่วันแรก แต่มาเจอวันที่ผู้ปกครองเอามาฝากแล้ว และยังไม่ทันได้ถามหรือซักประวัติข้อมูลส่วนตัวอะไร ผู้ปกครองก็รีบออกไป มารู้อีกว่าน้องมีพฤติกรรมขโมยของ โดยขโมยทองครูเตยไป พอถามผู้ปกครองก็บอกว่าลูกไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนั้น


ถ้าถามว่าหลังจากนี้จะเปิดรับเลี้ยงเด็กต่อไปมั้ย ก็คงต้องขอเคลียร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ยอมรับว่าร้ายแรงมากที่ตนเองโดนกล่าวหา

ทีมข่าวยังได้คุยกับครูต้น อายุ 21 ปี พี่เลี้ยงเด็ก ยืนยันว่า ไม่เคยตีเด็กหรือทำร้ายร่างกายเด็กแน่นอน โดยเฉพาะ เขาอยู่ที่นี่มาประมาณ 4 เดือนกว่าๆ ครูจะสอนให้เข้าสังคม สอนพัฒนาการของเด็ก และส่วนตัวครูเคยทำโทษหนักสุดคือให้ลุกนั่ง ส่วนเด็กคนอื่นๆ ที่เป็นเด็กเล็ก เน้นสอนพัฒนาการ ยืนยันว่าพี่เลี้ยงทุกคนในบ้านทำหน้าที่ดูแลเด็กอย่างเต็มที่ การดูแลดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับผู้ปกครองแต่ยืนยันว่าพวกหนูทำเต็มที่ที่สุด เพราะถ้าผู้ปกครองบอกว่าดูแลดีหรือไม่ดีจะต้องแจ้งทางคุณครูแต่นี่ไม่มีการแจ้งทางคุณครูเลย และผู้ปกครองท่านอื่นก็ให้กำลังใจ

นักข่าวยังสังเกตเห็นภายในบ้านของครูเตย มีการติดใบประกาศนียบัตร หลักสูตรเกี่ยวกับเด็กที่เคยผ่านการอบรมไว้ มีประมาณ 5 หลักสูตรที่เคยผ่านการอบรมมาก่อน ซึ่งเป็นประกาศนียบัตรจาก สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ระบุช่วงเวลาการเข้าอบรม ตั้งแต่ ก.ค.-ต.ค. 2564 ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาก่อนที่ครูเตย จะมารับเลี้ยงดูแลเด็ก


ทีมข่าวได้เจอกับผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง เอาลูกมาฝากเลี้ยงไว้ที่นี่เช่นกัน เมื่อวานนี้ได้เดินทางมารับลูก เพราะปกติจะมารับทุกเย็นอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องผู้ปกครองท่านนี้ก็ตกใจ ไม่เชื่อว่าครูจะทำร้ายเด็กตามที่ถูกกล่าวหา เพราะลูกของตนเป็นเด็กเล็ก ไม่เคยเป็นอะไรเลย และได้รับการดูแลจากครูแลพี่เลี้ยงที่นี่เป็นอย่างดี จนลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก สามารถไปโรงเรียนได้เหมือนเด็กปกติแล้ว


เพราะก่อนหน้านี้ลูกไม่สามารถทำอะไรแบบเด็กทั่วไปได้ เพราะมีภาวะเสี่ยงเป็นออทิสติก แต่พอนำมาฝากเลี้ยงลูกก็มีวินัยมากขึ้น แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้น ผู้ปกครองท่านนี้บอกว่ายังมั่นใจที่จะเอาลูกมาฝากเลี้ยงอีก เชื่อมั่นในการดูแลของครูที่นี่


รับชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/O9PmiT3Hs1M

คุณอาจสนใจ

Related News