สังคม

เคลียร์จบแล้ว! ผู้ปกครองเด็ก ป.6 ยอมจ่ายค่าเสียหาย หลังผอ.โรงเรียนแจ้งจับนักเรียน เตะบอลโดนกล้องวงจรปิด รร.พัง

โดย petchpawee_k

1 ต.ค. 2565

47 views

กำแพงเพชร -ชาวเน็ตเสียงแตก ผอ.โรงเรียนดังใน จ.กำแพงเพชร แจ้งจับดำเนินคดี เด็ก ป.6 หลังเตะบอลโดนกล้องวงจรปิดโรงเรียนพัง  เพจสายไหมต้องรอดลั่นจะช่วยในการชดใช้ค่าเสียหาย ล่าสุดเคลียย์จบแล้ว พ่อแม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย 


จากกรณี เพจดังสายไหมต้องรอด โพสต์รูปภาพหมายเรียกผู้ต้องหาและรูปภาพเด็กนักเรียน โดยระบุข้อความว่า “น้องมะพร้าว อายุ 11 ปี เด็กนักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ถูกผอ.โรงเรียน แจ้งความดำเนินคดี หลังน้องและเพื่อนๆนักเรียนเล่นบอลไปโดนกล้องวงจรปิดที่โรงเรียนได้รับความเสียหาย เด็กๆกลัวความผิดจึงไปตัดสายไฟขาด โรงเรียนเรียกเก็บค่าซ่อม 3,300 บาท โดยให้หารกับเพื่อนนักเรียน 2 คนๆละ 1,650 บาท น้องอีกคนครอบครัวหาเงินมาจ่ายได้ ส่วนน้องมะพร้าว ครอบครัวยากจนไม่มีเงินจ่าย จึงถูกดำเนินคดี”


ทำให้ชาวเน็ตเสียงแตกถามว่า ผอ.ทำเกินไปไหม เด็กจะมีคดีติดตัว ขอให้ถอนแจ้งความเดี๋ยวรวมเงินช่วยเคลียร์ค่าเสียหาย ขณะที่อีกมุมบอก เรื่องมันมีมากกว่านั้น อยากให้ฟังอีกฝั่งเล่าความจริง


วานนี้ (วันที่ 30 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พบกับ นายสมชาย ศรีสุข ผอ.โรงเรียน ให้ข้อมูลว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากที่เด็กทั้ง 2 คน ไปเล่นวอลเล่ย์บอล แล้วไปโดนกล้องวงจรปิดของโรงเรียนพังเสียหาย โดยเด็กทั้งสองคนนั้นกลัวความผิดเลยตัดสินใจนำไม้มาตีเพื่อทำลายกล้อวงจรปิด พร้อมทั้งตัดสายไฟและสายสัญญาณเพื่อปกปิดความผิด แต่ปรากฎว่ากล้องวงจรปิดสามารถบันทึกถาพไว้ได้


ทางโรงเรียนได้เรียกผู้ปกครองของเด็กที่ทำกล้องวงจรปิดพังเสียหาย เข้ามารับทราบพร้อมตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายประมาณ 3,000 บาท ซึ่งมีนักเรียน 2 คน ที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน มี ด.ช.เอ (นามสมมติ)  และ ด.ช.มะพร้าว นักเรียนชั้น ป.6 ที่เป็นเพื่อนห้องเดียวกัน โดยผู้ปกครองของทั้ง 2 ฝ่าย ยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ และจบเรื่องดังกล่าว


ต่อมาพ่อของ ด.ช.มะพร้าว ทราบเรื่องก็บอกว่าขอไม่ชดใช้ อ้างว่าลูกตนเองไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว หน่วยงานปกครองและตำรวจในพื้นที่ก็ทราบดีและเข้ามาไกล่เกลี่ยเจรจา จนสุดท้ายมีความเห็นว่าควรจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่รับผิดชอบคือ ด.ช.มะพร้าว ส่วน ด.ช.เอ ได้จ่ายค่าเสียหายแล้ว ซึ่งเหตุผลที่ต้องดำเนินการทางคดีนั้น เพราะต้องการปรามเด็กไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง


สำหรับ ด.ช.เอ เพื่อนของ ด.ช.มะพร้าว มีวีรกรรมในโรงเรียนและชุมชนในลักษณะนี้หลายครั้งจนเอือมระอา ทั้งงัดเข้าไปขโมยของในร้านค้าสหกรณ์แและงัดห้องเรียน ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อเข้าไปขโมยกระปุกออมสินและขนม


ซึ่งล่าสุด ด.ช.เอ เคยมีปัญหากับเพื่อนในโรงเรียนด้วยกันถึงขนาดพกมีดดาบเข้ามาจะทำร้ายกันในโรงเรียน โดยทางปกครองได้เข้าห้ามปรามเรียกผู้ปกครองมารับทราบ จนมีกระแสดราม่าในเพจสายไหมต้องรอด


ส่วน ด.ช.มะพร้าว เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มที่ สร้างความเดือดร้อนเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น และมี ด.ช.บี (นามสมมติ)  ร่วมกับ ด.ช.เอ ตีกล้องวงจรปิดหน้าห้องศูนย์เด็กเล็ก เพื่อเข้าไปขโมยกระปุกออมสินและขนม


จากกรณีที่เล่นวอลเล่ย์บอลจนกล้องวงจรปิดพังเกิดขึ้นวันที่ 5 ก.ย.65 และงัดห้องสมุด ด.ช.เอ ยังเคยขังน้องนักศึกษาฝึกสอนผู้หญิงไว้ในห้องเมื่อวันที่ 6 ส.ค.65 โดย ผอ.และคณะครูได้พาเดินดูตามจุดที่ถูกงัดเสียหายภายในโรงเรียน


ด้านนายธวัชชัย ไทยตัน กำนันตำบลนาบ่อคำ กล่าวว่า เนื่องจากมีเด็กหัวโจกในโรงเรียนที่กำลังเป็นข่าวจริงๆแล้วเด็กหัวโจก เป็นเด็กอันตรายกับชุมชน ไปงัดแงะตั้งแก๊ง ทางตนและคณะกรรมการโรงเรียนได้เรียกมาตักเตือนแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมอีกในการที่แจ้งความ ไม่ใช่แจ้งจับอะไรเป็นการป้องปราม ไม่อยากให้เด็กโตขึ้นมาเป็นปัญหาของสังคม


ด้าน น.ส.อริสรา แม่ค้าสหกรณ์ในโรงเรียน  กล่าวว่า ร้านตนเองถูก ด.ช.เอ ขโมยของในร้านถึง 3 ครั้ง พร้อมทั้งทำลายกลอนประตู กล้องวงจรปิด และสายอินเตอร์เน็ต ซึ่งตนเองพึ่งจะเข้ามาขายของยังร้านค้าสหกรณ์ เพียง 2 เดือน แต่โดนงัดรัานและทำลายทรัพย์สินบ่อยขนาดนี้ โดยทั้งหมดเหมือนรู้ดีกว่าจะกระทำผิด โดยพุ่งเป้าไปที่การทำลายกล้องวงจรปิดก่อน ไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงแค่นี้แต่ทำได้ถึงขนาดนี้


ต่อมาทางนายเอกภพ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ให้สัมภาษณ์ว่า คนที่ก่อเหตุได้รับสารภาพและชดใช้ค่าเสียหายไปหมดแล้ว ส่วนน้องมะพร้าวไม่ได้ทำความผิดแต่กลับโดนตั้งข้อหา อีกทั้งน้องมะพร้าวไม่ได้มีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย  ตนมองว่า การที่โรงเรียนออกมาแฉพฤติกรรมของเด็กนักเรียนนั้นไม่เหมาะสม และยังมองว่าอายุเพียง 11 ปี ยังไม่มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจที่ดี แต่โรงเรียนกลับไปตัดสินและใส่ความผิด โดยไม่อบรมหรือพูดคุยก่อน ทำให้เด็กถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ต้องหา ไม่คำนึงถึงสภาพจิตใจเด็ก


ขณะที่นายเอกภพ บอกอีก ว่าได้ไปพูดคุยกับตำรวจเจ้าของคดีก็มองว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเคลียร์กันได้แต่ทำไมโรงเรียนถึงยังยืนยันจะแจ้งความ และทางทางเพจสายไหมต้องรอดยืนยันจะชดใช้ให้น้องมะพร้าวเพราะสงสารเด็กที่จะต้องไปพิมพ์ลายนิ้วมือและต้องไปขึ้นศาล


ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. นายสุพล จันทรต๊ะคาด ผอ.งานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 พร้อมด้วยนายพงศ์พล สุเยาว์ นักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดกำแพงเพชร ได้ลงพื้นที่เข้าพบ ผอ.โรงเรียนพร้อมผู้นำท้องถิ่น รวมทั้งผู้เป็นพ่อและยายของ ด.ช.มะพร้าว โดยได้เจรจาและอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งได้พูดถึงภาพวงจรปิดที่ถูกจับภาพไว้ได้


โดยในภาพจะเห็นลูกวอลเล่ย์บอลกระเด็นมาถูกกล้องวงจรปิด จากนั้น ด.ช.มะพร้าว ได้เดินเข้ามาเพื่อจะเก็บลูกวอลเลย์บอล โดยใช้เชือกปิดบังใบหน้าและใช้เท้าเขี่ยไม้กวาดทางมะพร้าวไปในมุมที่คาดว่าเพื่อนอีกคนจะยืนอยู่ จากนั้นภาพวงจรปิดก็หมุนตกลงมาที่พื้น ซึ่งเป็นการถูกทุบทำลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันขับรถจักรยานยนต์ออกจากโรงเรียนไป เป็นหลักฐานที่สามารถมัดตัวและดำเนินคดีเด็กทั้ง 2


โดยทางโรงเรียนได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกำแพงเพชร ก่อนจะมีการแจ้งความและออกหมายเรียกเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยหาข้อตกลงกัน และให้ผู้ปกครองรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินคดีให้เด็กเสียหาย เพราะทางโรงเรียนก็คำนึงถึงอนาคตของเด็ก โดยทุกฝ่ายได้ตกลงกันและทำความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อย

 ทางผู้ปกครองของ ด.ช.มะพร้าว ได้ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,650 บาท ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือหลังจากที่ ด.ช.เอ ได้จ่ายแล้ว ส่วนทางโรงเรียนก็จะดำเนินการถอนแจ้งความทันที


ขณะที่ ด.ช.มะพร้าว เล่าว่า หลังจากที่มีกระแสข่าว ตนเองรู้สึกกลัวและตกใจ ยอมรับว่าเป็นคนในภาพวงจรปิดจริง โดยตนเข้ามาเล่นวอลเลย์บอลภายในโรงเรียนกับ ด.ช.เอและเพื่อนคนอื่น ตนได้เล่นวอลเลย์บอลกระเด็นไปบริเวณอาคารเรียน จึงเดินไปเก็บลูกวอลเล่ย์บอล ส่วนที่เอาผ้าปิดหน้านั้นเพราะกลัวว่าครูจะเห็น ว่าตนแอบเข้ามาเล่นในเวลาเลิกเรียน โดยตนสังเกตุเห็นว่า มีเพื่อนอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นในลักษณะกำลังด่อมๆมองๆไปที่กล้องวงจรปิด จากนั้นตนก็เดินออกมาเล่นกับเพื่อนและขับรถกลับบ้าน


ทางด้าน ร.ต.อ.วิโรจน์ ร้อยเวรเจ้าของคดี เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุทาง ผอ.โรงเรียนมาแจ้งความ พร้อมทั้งนำแผ่นซีดีบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดมาเป็นหลักฐาน ทางตำรวจก็ต้องรับแจ้งความไว้ก่อน จึงได้ออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวน ข้อหาก่อเหตุทำให้เสียทรัพย์กล้องวงจรปิด เพื่อให้ทางโรงเรียนรวมทั้งผู้ปกครองจะได้มาพูดจาไกล่เกลี่ยกัน


เนื่องจากเด็กอายุแค่ 11-12 ถึงมีความผิดก็ไม่ต้องรับโทษ ถ้าคุยตกลงกันได้เรื่องก็จบที่โรงพักไม่ต้องสอบปากคำ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องดูว่าเด็กเล่นฟุตบอลจงใจทำหรือไม่ ถ้าไม่จงใจก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ตำรวจก็ทำเรื่องสั่งสำนวนไม่ฟ้องศาล แต่ต่อมาทาง ผอ.โรงเรียนได้มาถอนแจ้งความยุติเรื่องดังกล่าวที่โรงพัก


ชมผ่าน YouTube ได้ที่นี่ : https://youtu.be/Ha6Wj_HY2n8

คุณอาจสนใจ

Related News