สังคม
อยุธยา-พิจิตร-ชัยนาท อ่วม! บางจุดน้ำท่วมสูงถึงชั้น 2 จนท.เร่งอพยพผู้ป่วย-สูงอายุ
6 ต.ค. 2568
48 views
ที่พิจิตรเจอน้ำป่าจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ไหลมาสมทบกับแม่น้ำน่านที่ล้นตลิ่ง ทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่รอบโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน ทางจังหวัดเร่งหาทางลดระดับน้ำ หวั่นกระทบผู้ป่วย
น้ำป่าจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ สมทบกับแม่น้ำน่าน จนเอ่อท่วมพื้นที่รอบโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน ภายในเขตเทศบาลเมืองตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ทำให้การเดินทางเข้าออกโรงพยาบาล ไปด้วยความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันพยุงผู้สูงอายุ ที่เดินทางมารักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัย
ขณะที่ด้านนายกิติพล เวชกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และนายแพทย์วิศิษฎ์ อภิสิทธิ์วิทยา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ได้ระดมเจ้าหน้าที่มาช่วยกันปิดเส้นทางน้ำ ไม่ให้ไหลเข้าไปเพิ่มเติมในโรงพยาบาล พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำออก พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ให้ออกมาคัดกรองผู้ป่วยเบื้องต้นที่ด้านหน้าโรงพยาบาล
รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เผยว่า น้ำที่เข้ามาท่วม มีทั้งน้ำป่าและน้ำแม่น้ำน่าน ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่ปิดเส้นทางน้ำแล้ว และสูบน้ำออก ส่วนระบบการรักษาทางการแพทย์ ก็ยังสามารถรักษาได้ตามปกติ แต่จะหยุดรับเคสฉุกเฉินที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลใกล้เคียง ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลพิจิตรแทน แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ ก็ยังสามารถเข้ารับบริการได้ตามปกติ ซึ่งขณะนี้ยังมีน้ำท่วมขังด้านหน้าอาคารทางการแพทย์ ระดับน้ำสูงประมาณ 30 เซนติเมตร
อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ยังคงวิกฤต หลังคันดินกั้นน้ำจุดสำคัญหน้าวัดสมอ พังเสียหาย ชาวบ้านโพนางดำออก ต้องอพยพนอนริมถนน ขณะที่เจ้าของสวนกล้วยต้องลุยน้ำรีบตัดกล้วยก่อนเน่าตาย
สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาวันนี้ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาทำการระบายน้ำ 2,500 ลบ.ม./วินาที เป็นวันที่ 4 ต่อเนื่อง ล่าสุดน้ำเหนือที่ไหลเข้าเขื่อน ที่สถานีวัดน้ำ C.2 หน้าค่ายจิรประวัติ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ปริมาณน้ำเหนือเริ่มมีแนวโน้มลดลง ล่าสุดวัดได้ 2,748 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ที่สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา ชัยนาท มีปริมาณน้ำทางด้านเหนือเขื่อนอยู่ที่ 16.10 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีปริมาณน้ำทางด้านท้ายเขื่อนทรงตัวอยู่ที่ 15.94 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ห่างจากตลิ่ง 40 เซนติเมตร
ขณะที่พื้นที่ท้ายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท น้ำเริ่มขยายวงท่วมกว้างไปหลายหมู่บ้าน หลังคันดินกั้นน้ำบริเวณวัดสมอ หมู่ 3 ตำบลโพนางดำออก พังเสียหาย เนื่องจากเขื่อนเจ้าพระยาปล่อยระบายน้ำเพิ่ม ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ระดับน้ำสูงตั้งแต่ 10-130 เซนติเมตร แล้วแต่ระดับความสูงของพื้นบ้านแต่ละหลัง ชาวบ้านต้องรีบขนของอพยพ ขึ้นไปนอนบนถนนริมคันคลองมหาราชแล้วกว่า 400 คน รวมกว่า 100 ครัวเรือน
ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ ต.โพนางดำออก เดินทางมายังสวนกล้วยของตนเอง ที่ปลูกไว้ 2 งานกว่า โดยนำเรือและรถกระบะยกสูงมา เพื่อลอยคอไปในสวนแล้วรีบตัดกล้วยก่อนที่จะเน่าเสียตายคาต้น ระดับน้ำสูงถึงคอ ประมาณ 120-140 ซม.
ในการรับมือสถานการณ์น้ำ ช่วงบ่าย 2 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้นัดประชุมคณะกรรมการบริหารภัยพิบัติฯ หลังเซ็นคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวานนี้ โดยรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ต่างประสานเสียงว่า "เอาอยู่"
คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เรียกประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือ คอภ. นัดแรก โดยมีรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
คุณอนุทิน ได้พูดก่อนการประชุม ระบุว่า เป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์นี้ ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุแมกโม่ และตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ก็จะเป็นช่วงฤดูมรสุมซึ่งอาจก่อให้เกิดฝนตกหนัก และฝนสะสม
จึงต้องประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และหารือการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงแนวทางช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย อย่างเป็นระบบ
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกษตรฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ไปบินสำรวจน้ำท่วม ที่จังหวัดสุโขทัย ก็บอกว่าได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรง นำมาประกอบการพิจารณาวางแผนแก้ปัญหา
ร.อ.ธรรมนัส พูดถึง การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ที่ใช้พื้นที่ลุ่มต่ำในอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก หรือที่เรียกว่า "บางระกำโมเดล" อาจไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จึงจำเป็นต้องมีแนวทางเฉพาะพื้นที่ เรียกว่า "กงไกรลาศโมเดล"
ซึ่งได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ และอธิบดีกรมชลประสาน ประสานกับผู้ว่าสุโขทัย วางแผนและขับเคลื่อนโครงการโดยเร็ว
ขณะที่ช่วงก่อนเข้าประชุมกับนายกฯ ที่ทำเนียบฯ ร.อ.ธรรมนัส บอกกับผู้สื่อข่าวสั้น ๆ ถึงสถานการณ์น้ำท่วม ว่า "เอาอยู่ครับ ไม่น่าห่วง"
ส่วนคุณโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯที่กำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ให้ความมั่นใจ ว่าจัดการน้ำได้ "เอาอยู่" จะไม่ซ้ำรอยเหมือนปี 2554 แน่นอน
คุณโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ กำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พูดถึงการเตรียมพร้องรับมือสถานการณ์น้ำ ก็บอกว่า ตอนนี้มีฝนตกลงมามากกว่าที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ เป็นเหตุให้เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ต้องปล่อยระบายน้ำออกมาแล้วให้เขื่อนเจ้าพระยารองรับน้ำด้วย แต่ย้ำว่าสามารถบริหารจัดการน้ำทั้ง 3 เขื่อนได้สมดุลแล้ว
"ขอให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการขณะนี้ เราเอาอยู่ ไม่เหมือนปี 2554 แน่นอน"
นักข่าวถามย้ำว่า กทม.น้ำจะไม่ท่วมใช่หรือไม่ คุณโสภณ ย้ำอีกครั้ง ว่า การรับมือจะไม่เหมือนปี 2554 แต่ก็บอกว่า
"ภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นภัยธรรมชาติที่บางทีไม่เคยเกิดมาก่อน ถ้าไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ตกลงมาแบบรับไม่ได้ กรุงเทพฯก็จะไม่ท่วม แต่การรอระบายก็อาจจะมีบ้าง ซึ่งนายกฯให้ความสำคัญการแจ้งเตือนประชาชนต้องเร็ว แม้น้ำจะท่วมแต่ประชาชนต้องรับรู้ก่อน"
ที่ประชุม สทนช.มีมติปรับเพิ่มการระบายน้ำ ที่เขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ ส่วนเขื่อนเจ้าพระยาตลอดสัปดาห์นี้ยังคงระบายน้ำเท่าเดิมที่ 2,500 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที พร้อมย้ำประชาชนอย่าตระหนก ตามข้อมูลในโซเชียล สถานการณ์น้ำ ปี 68 ไม่ได้รุนแรงเทียบเท่าปี 54
ผลการประชุมบริหารจัดการน้ำ ที่มี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสทนช.เป็นประธาน ได้ข้อสรุป เพิ่มการระบายน้ำ 2 เขื่อนหลักภาคเหนือ ที่เขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ รวมกันประมาณวันละ 40 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (เมื่อวานระบายน้ำอยู่ที่ 35 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน) เนื่องจากทั้ง 2 เขื่อนมีปริมาณน้ำรวมกัน คิดเป็น 92 เปอร์เซ็นต์ของความจุอ่าง อีกทั้งเขื่อนสิริกิติ์มีน้ำไหลลงอ่างเพิ่มขึ้นทุกวันจนใกล้เต็มความจุอ่าง จึงต้องระบายเพิ่ม
ขณะเดียวกัน ก็ได้มีแผนบริหารจัดการ ส่วนท้ายน้ำ ก่อนถึงเขื่อนเจ้าพระยา จะผลักดันน้ำเข้าระบบส่งน้ำซ้ายและขวา (ทุ่งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งยืนยันว่า สามารถบริหารจัดการน้ำได้
ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยา ตลอดสัปดาห์นี้ ยังคงอัตราการระบายน้ำเท่าเดิม อยู่ที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อ วินาที ไม่มีการปรับเพิ่ม
ส่วน พายุ แมตโม ยังต้องเฝ้าระวังช่วง 3-4 วันนี้ว่า ฝนจะตกเพิ่ม ได้ปริมาณน้ำมากน้อยแค่ไหน โดยคาดว่าหลังวันที่ 15 ตุลาคม สถานการณ์ฝนจะเริ่มลดลง
เลขา สทนช.กล่าวชี้แจง ประชาชนที่อ่านข้อมูลโซเชียลจนมีข้อกังวลต่อสถานการณ์น้ำในปีนี้ เทียบเคียงกับปี 54 ว่า ไม่เป็นจริง ขออย่าได้กังวล แม้จำนวนพายุ ในปี 54 และ ปี 68 มี 5 ลูกเท่ากัน แต่ปริมาณฝนสะสมแตกต่างกัน โดยปี 54 สูงกว่าคาดการณ์ปกติ ถึงร้อยละ 24 ขณะที่ปีนี้ มีเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น
ขณะที่การวัดปริมาณน้ำไหลผ่าน เช่นที่สถานี C2 นครสวรรค์ ในปี 54 มีน้ำมากถึง 4,578 ลบ.ม./วินาที ส่วนปีนี้ 68 มีปริมาณน้ำไหลผ่านเพียง 2748 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
การระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ในปี 2554 อยู่ที่ 3,622 ลบ.ม./วินาที ในปี 68 ขณะนี้ระบายน้ำอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที
ดังนั้นตามข้อมูลทั้งหมดสถานการณ์น้ำมีความแตกต่างกัน และตอนนี้มีแผนการ บริหารจัดการน้ำเป็นระบบ จะไม่เกิดเหตุน้ำท่วม อย่างเช่นปี 2554 อย่างแน่นอน
ขณะที่ พายุ "แมตโม" ในประกาศ เตือน กรมอุตุฯ ฉบับที่ 12 ได้อ่อนกำลัง จากพายุโซนร้อนกำลังแรง เป็นพายุโซนร้อนแล้ว เนื่องจากปะทะมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุม
จากอิทธิพลของพายุ "แมตโม" ส่งผลให้ ในช่วงวันนี้และพรุ่งนี้ (6-7 ต.ค.) มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมไทย มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคเหนือ และภาคอีสาน รวมทั้งภาคตะวันออก จะมีฝนตกหนักบางแห่ง
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/LaKwri-_7s4
แท็กที่เกี่ยวข้อง